พระพุทธศาสนามิใช่ลัทธิ

..การบัญญัติ 'นิมิต' ของสมาธิเป็นผลสำเร็จของการปฏิบัติ จะเรียกว่า ธรรมกายหรือปฐมมรรคก็แล้วแต่ นี่ก็เพี้ยนไปมาก และยิ่งทำให้เป็น 'นิมิตจัดสรร' ด้วยยิ่งเตลิดไปอีกไกลโข สมาธิแบบนี้เรียกว่าสมาธิ 'กึ่งสะกดจิต' สั่งหรือสะกดให้มองเห็น 'นิมิต' อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว (เช่นลูกแก้ว)

ตราบใดที่ไม่ใช้สมาธิเป็นบาทฐานของวิปัสสนา สร้างนิมิตขึ้นมาแล้วยึดติดในนิมิตว่าเป็น 'ผลสำเร็จ' ของการปฏิบัติขั้นต่างๆ ก็ไม่ไปถึงไหน 'แหง็ก' อยู่ตรงนั้นแหละ นั่งสมาธิทีไรก็เห็นนิมิตนั้นแหละ เห็นแล้วก็ได้รับการบอกเล่าว่า 'คุณได้แล้ว' คุณ 'บรรลุแล้ว'

มรรคผลนิพพานที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'สันทิฎฐิโก' (ผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง) ปัจจัตตัง เวทิ ตัพโพ วิญญูหิ (ผู้รู้แจ้งพึงรู้เฉพาะตน) กลายเป็นมรรคผลที่เจ้าลัทธินั่งบอกให้

ในพระพุทธศาสนามีลัทธิอย่างนี้หรือ

ครั้งหนึ่งมีคนไปถามหลวงปู่ดุลย์ว่าจริงหรือไม่ ที่เขาว่าเขานั่งสมาธิแล้วเห็นนั่นเห็นนี่ (เช่นเห็นลูกแก้ว) หลวงปู่ท่านตอบว่า

"ที่เขาเห็นน่ะ เห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นไม่จริง"

นิมิตก็คือนิมิต เป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้น มิใช่มรรคผลนิพพานอะไร

เพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว ยิ่งไปเอานิมิตนั้นมาเป็น 'จุดขาย' หาเงินหาทองด้วยแล้ว ไม่บาปก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว

เพราะคนที่ไม่เคยได้นิมิตนั้น พอเกิด 'ได้' ขึ้นมา แถมยังได้รับบอกเล่าว่า 'คุณบรรลุขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว' ศรัทธาหลั่งไหลมามหาศาล

มีแสนถวายแสน มีล้านถวายล้าน ขายที่ได้เท่าไร ถวายหมด

แล้วคนที่สบายคือใคร

อย่างนี้หรือไม่ที่เขาเรียกว่า พุทธพาณิชย์ พาณิชย์เพื่อความเจริญก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา หรือว่าเพื่อความอยู่ดีกินดีของใคร

ขอฝากข้อคิดแด่ชาวพุทธแค่นี้ก่อน มีโอกาสจะเขียนถึงโดยละเอียดอีกครั้ง

(คอลัมน์ 'รื่นร่มรมเยศ' โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก น.ส.พ.มติชน รายวัน วันที่ 21 พฤศจิกายน 2541)




Last modified: วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2541