วิชชาธรรมกายคือ มิจฉาทิฏฐิประเภทหนึ่ง ( ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ) ใน มิจฉาทิฏฐิ ๖๒
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๑๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค หน้า 52-53 ข้อ 50 พรหมชาลสูตร
พรหมชาลสูตร
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕
[ ๕0 ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่านิพพานปัจจุบัน
ย่อมบัญญัติว่านิพพานปัจจุบัน เป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ที่ปรากฏอยู่ ด้วยวัตถุ
๕ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า
นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ที่มีอยู่
ด้วยวัตถุ ๕
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้
มีวาทะอย่างนี้ว่า มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะ
อัตตานี้เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยุ่ด้วยกามคุณ ๕ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
สมณ
พราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ที่มีอยู่
ด้วยประการฉะนี้
สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น
มีอยู่จริง ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้มิได้บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะกามเหล่า
นั้นแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส
และความคับใจ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอัน
บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ของสัตว์ที่มีอยู่ ด้วยประการฉะนี้
หน้า 58-59 ข้อที่ 61
ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ
[ ๖๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด
มีวาทะว่านิพพานปัจจุบัน ย่อม
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ด้วยวัตถุ ๕ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญ
เหล่านั้น ผู้ไม่รู้ ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๑๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค หน้า 21 ข้อ 30 พรหมชาลสูตร
พรหมชาลสูตร
สัสสตทิฏฐิ ฐานะที่ ๔
[๓0 ] ๔. อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ
อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา
และโลก ว่าเที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้
เป็น นักตรึก นักตรอง กล่าวแสดง ปฏิภาณ ของตนตามที่ ตรึกได้ตามที่คิดค้นได้อย่างนี้ว่า
อัตตาและโลกเที่ยง ตั้งมั่นดุจยอดเขาภูเขา
ตั้งมั่นดุจ เสาระเนียดที่ตั้งอยู่ ส่วนสัตว์เหล่านั้น ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไป
ย่อมจุติ ย่อมอุบัติ แต่สิ่งที่เที่ยง เสมอ คงมีอยู่แท้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะที่ ๔ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภแล้ว จึงมีวาทะ ว่าเที่ยง
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีวาทะว่าเที่ยงบัญญัติอัตตา และโลกว่าเที่ยง
ด้วยวัตถุ ๔ นี้แล
หน้า ๕๖ ข้อที่ 51
ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ
[ ๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด
มีวาทะว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติ
อัตตาและโลก ว่าเที่ยงด้วยวัตถุ
๔ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นผู้ไม่
รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๓๘
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกสทสกนิบาต หน้า 389-390 ข้อ 132 มิจฉัตตสูตร
๑0. มิจฉัตตสูตร
ว่าด้วยมิจฉัตตธรรม ๑0 ประการ
[ ๑๓๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิจฉัตตะ
( ความผิด ) ๑0 ประการนี้ ๑0 ประการเป็นไฉน
คือ มิจฉาทิฏฐิ ๑
มิจฉาสังกัปปะ ๑ มิจฉาวาจา ๑ มิจฉากัมมันตะ
๑ มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑ มิจฉาสมาธิ ๑ มิจฉาญาณะ ๑ มิจฉาวิมุตติ
๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิจฉัตตะ ๑0 ประการนี้แล
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๓๘
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกสทสกนิบาต หน้า 398 ข้อ 145 อริยมรรคสูตร
๑. อริยมรรคสูตร
ว่าด้วยธรรมที่เป็นอริยมรรคและไม่เป็นอริยมรรค
[ ๑๔๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเป็นอริยมรรคและธรรมไม่เป็นอริยมรรคแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลาย
จงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมที่มิใช่อริยมรรคเป็นไฉน
มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ
มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ นี้เรียกว่าธรรมที่มิใช่อริยมรรค
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่เป็นอริยมรรค
เป็นไฉน สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ นี้เรียกว่าธรรมที่เป็นอริยมรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๓๘
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกสทสกนิบาต หน้า 396 ข้อ 144 ทุกขวิปากธรรมสูตร
๑๑. ทุกขวิปากธรรมสูตร
ว่าด้วยธรรมที่มีทุกข์และสุขเป็นวิบาก
[ ๑๔๔ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมมีทุกข์เป็นวิบากและธรรมมีสุขเป็นวิบากแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลาย
จงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมมีทุกข์เป็นวิบากเป็นไฉน
มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ
มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ นี้เรียกว่าธรรมมีทุกข์เป็นวิบาก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมมีสุขเป็นวิบาก
เป็นไฉน สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ นี้เรียกว่าธรรมมีสุขเป็นวิบาก
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๓๘
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกสทสกนิบาต หน้า 383 ข้อ 121 ปุพพังคสูตร
๙. ปุพพังคสูตร
ว่าด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย
[ ๑๒๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งดวงอาทิตย์เมื่อจะอุทัย
คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย
คือ
สัมมาทิฏฐิ ฉันนั้น
เหมือนกันแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะย่อมเพียงพอแก่บุคคล
ผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาวาจาย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสังกัปปะ สัมมากัมมันตะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาวาจา
สัมมาอาชีวะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาวายามะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาอาชีวะ
สัมมาสติย่อมเพียง
พอแก่บุคคลผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสมาธิย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมา สติสัมมาญาณะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสมาธิ
สัมมาวิมุตติย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาญาณะ