เดลินิวส์ 6/12/2541

พ่อคูณไม่รู้จักวัดธรรมกาย

หลวงพ่อคูณเตือนสติวัดไหนไม่ให้คนเดินเข้าไปแสดงว่าต้องมีอะไรไม่ดีไม่งามปิดบังเอาไว้ บอกไม่อยากรู้จัก ไม่อยากญาติดีกับธรรมกาย แนะวิธีทำบุญไม่ต้องมาก ลูกหลานกำลังตกยาก สิบยี่สิบก็พอแล้ว "ระวี ภาวิไล" นักวิชาการศาสนาระบุไม่ต้องไปสร้างพระประจำตัวที่ไหน ถ้าทำดีก็มีพระในตัว แถมการเห็นลูกแก้ว เห็นแสงอาทิตย์ ก็เป็นแค่เพ่งจิตให้เกิดนิมิต ไม่ใช่สิ่งประหลาด หลายศาสนาก็ทำได้
เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. พระราชวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เกจิชื่อดังและเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ เทศน์ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับกิจกรรมของวัดพระธรรมกายว่า กูไม่รู้จักธรรมกายหรือวัดอะไรที่บอกมาเลย
"กูก็ไม่อยากรู้จักไม่อยากญาติดีด้วย ถาม กันมากเหลือเกินเหมือนจะให้กูรู้จักให้ได้ ก็บอกให้รู้เลยว่าไม่รู้จักไม่เคยอยากรู้จัก พวกเอ็งไม่มีวัดอื่นมาถามกูเลยหรือลูกหลาน ตอนนี้กูบอกไม่รู้จัก พวกเอ็งอยากรู้จักเป็นเรื่องของพวกเอ็ง กูไม่รู้จักด้วยดอก มีวัดที่ไหนไม่ให้คนเดินไม่ให้คนเข้าไม่ให้เข้าหาเจ้าวัดมีที่ไหนลูกหลาน พวกเอ็งจำไว้วัดไม่ยอมให้คนเข้าแสดงว่าต้องมีอะไรไม่ดีงามแอบปิดบังเอาไว้ "
ต่อข้อถามที่ว่าทำไมลูกศิษย์ถวายเงินให้หลวงพ่อถึงได้หยิบออกมานิดเดียวไม่ยอมรับถวายทั้งหมด เกจิชื่อดังจากวัดบ้านไร่กล่าวว่า ลูกหลานกำลังตกยากจะไม่มีข้าวปลากินกันแล้ว ปีหน้าพวกมึงจะมีข้าวกินกันหรือเปล่า น้ำไม่มีฝนไม่ตกลูกหลานทำนาไม่ได้แล้วจะเอาที่ไหนมากิน พวกมึงให้กูมากเท่าไรกูไม่โลภกูเอาสิบบาทยี่สิบบาทเท่านี้ คนที่โลภไม่มีวันรู้จักพอมีเท่าไรเอาเขามาหมด อย่างนี้กูไม่ทำดอกลูกเอ๋ย
เมื่อถามว่าลูกหลานทำบุญมากๆจะได้บุญมาก ๆ ด้วย หลวงพ่อคูณตอบแบบไม่ต้องคิดว่า ยี่สิบบาทพวกมึงได้ทำบุญหรือเปล่า ทำแล้วได้บุญหรือเปล่า กูไม่ใช่คนโลภได้เงินมากูเอาเงินที่พวกลูกหลานให้ไปสร้างโรงเรียน โรงพยาบาลต่อไปลูกหลานจะมาเรียนกัน คนเจ็บไข้ได้ป่วยมีที่ไว้รักษา อย่างนี้พวกมึงคิดว่าได้บุญมากหรือเปล่า
ศ.ดร.ระวี ภาวิไล อาจารย์พิเศษธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการทำบุญมากได้บุญว่า ต้องทำความรู้จักกับคำว่าบุญเสียก่อนว่าบุญคือความสุข ก็หมายความว่าใจที่เป็นกุศล ใจที่มีความสุขอันเกิดจากการกระทำในสิ่งที่ดีงาม ในทางพุทธศาสนาแล้วเป็นการเผื่อแผ่แบ่งปันหรือทาน อีกคำหนึ่งที่น่าสนใจคือศีลหมายถึงการควบคุมตัวเองให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความดีงาม ละเว้นในสิ่งที่ควรละเว้นมีวินัยในตนเอง การภาวนาคือการพัฒนาจิตใจให้เกิดความสงบรู้เท่ารู้ทันโลกและชีวิต นอกจากที่กล่าวมาแล้วการทำบุญยังสามารถทำด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งเป็นการทำบุญด้วยกันทั้งสิ้น
ถ้าทำบุญได้ดังที่กล่าวมาแล้วนี้เท่ากับทำมากได้มาก แต่ถ้าเป็นการทำบุญด้วยการควักเงินจ่าย การทำบุญเป็นตัวเงินนั้นหมายความว่า เงินนั้นเป็นทรัพย์สมบัติที่สร้างสะสมเอาไว้ สำหรับแลกเปลี่ยนเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกความสบายต่อชีวิตของคน การที่จะให้เงินใครไปต้องเกิดจากใจที่เสียสละ ฉะนั้นการที่คนจะใช้เงินทำบุญมากขึ้นอยู่ที่ฐานะทางการเงินของคนนั้น ๆ ทำตามที่มีที่ทำบุญได้ไม่ใช่มีน้อยแล้วทำมาก
ในคำสอนที่เป็นที่ยอมรับในทางพุทธศาสนานั้น ยึดที่จิตใจในความช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ใช่เป็นการทำบุญเพื่อประโยชน์ที่จะย้อนกลับมา ประโยชน์ที่จะย้อนกลับมาเป็นความโลภของคนนั้น ๆ ผู้ใดก็ตามที่มากระตุ้นให้เกิดความโลภเพื่อให้ยอมทำบุญ จึงไม่ใช่ผู้ที่เหมาะแก่การนับถือว่าเป็นผู้ดำเนินตามรอยพระพุทธองค์
สำหรับการทำบุญหรือบอกบุญก็ตามเป็นการมาบอกกล่าวให้ได้รับรู้ว่ามีงานบุญ เช่นการมาบอกให้ทราบว่าที่วัดนั้นวัดนี้มีการเทศน์ฟังธรรม น่าที่จะได้ไปร่วมฟังธรรมกัณฑ์เดียวกัน ไม่ใช่มาบอกว่าต้องเป็นกรรมการทำบุญ 5,000 บาท เป็นประธานกรรมการ กี่ร้อยบาทกี่พันบาท ไม่ได้เป็นเช่นว่านี้ผิดหมดแล้วเมื่อผิดขั้นเล็กก็จะผิดในขั้นที่ใหญ่กว่าได้
ส่วนเรื่องของพระประจำกายนั้นไม่ต้องมีใครมาสร้างให้ การที่เป็นผู้ใฝ่ดีงามก็ถือว่ามีพระประจำกายแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปให้ใครมาสร้างหรือสร้างเอง ธรรมชาติของคนย่อมใฝ่ดีสิ่งดีเมื่อใฝ่ดีมากขึ้น ๆ จนถึงดีที่สุดก็เปรียบได้ดังพระ ทุกคนมีโอกาสที่จะพัฒนาความรับรู้หรือปัญญา ให้รู้ซึ้งถึงขั้นที่ว่าธรรมชาติที่ดีที่สุดคือพระที่มีอยู่ในตัวเราเอง ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยวัตถุ
"ทีนี้เจ้าลัทธิไหนก็ตามจะมาตั้งแนวคิดเพิ่มเติมขึ้นมา โดยให้นั่งเพ่งองค์พระอย่างนั้นอย่างนี้อันนั้นเป็นเทคนิคของเขา เป็นวิธีการเฉพาะตัวแต่ไม่ใช่วิธีการที่ใช้กันโดยทั่วไป เพราะฉะนั้นการสร้างพระในตัวจึงไม่ต้องไปเสียเงินให้ใคร ใครทำกรรมดีก็จะได้แต่สิ่งที่ดี ใครคิดคดทรยศก็จะได้แต่สิ่งที่เลวร้าย ใครทำใครได้นี่คือการปฏิบัติธรรม"
ต่อข้อถามถึงปาฏิหาริย์ ดร.ระวี กล่าวว่า ถ้าได้ศึกษาพุทธศาสนาจะทราบว่าปาฏิหาริย์มีมาตลอด ซึ่งปาฏิหาริย์เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามปกติ มักเกิดขึ้นด้วยการสร้างเงื่อนไข เหตุปัจจัยถึงจะพร้อม ปาฏิหาริย์ถึงจะเกิด อย่างในสมัยก่อนคนป่าเห็นของที่เป็นโลหะลอยมาในอากาศ สำหรับคนป่าต้องเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ ดังนั้นอะไรก็ตามที่ไม่มักคุ้นไม่ใช่วิถีธรรมดาเกิดขึ้นย่อมเป็นปาฏิหาริย์ทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าก็เคยแสดงปาฏิหาริย์ ซึ่งโดยปกติพระองค์จะไม่ทำ แต่เมื่อมีความจำเป็นก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความไม่ดี พร้อมทั้งสั่งสอนด้วยว่าสิ่งเหล่านี้มิได้มีความสำคัญในการที่คนจะมีชีวิตสมบูรณ์ได้เลย คนที่ทำปาฏิหาริย์ได้ก็มี ที่ทำปาฏิหาริย์ปลอมก็มีมากมายในประวัติศาสตร์การเผยแผ่ศาสนา คนทำหลอกกันมามากแล้ว
ส่วนที่มีการเกิดภาพบนดวงอาทิตย์ ว่า จิตของคนเราสามารถฝึกให้เห็นอะไรได้มากมาย ซึ่งจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ระบบนี้เป็นระบบฝึกให้สร้างภาพเห็นดวงแก้ว เห็นได้ชัดเห็นอยู่ตรงกลางกายเห็นได้จนกระทั่งจะเดินไปทางไหน ก็ให้รู้สึกมีดวงแก้วอยู่กลางตัวจริง ๆ เป็นการฝึกให้ใจปรุงแต่งสิ่งที่ไม่มีให้มี ฝึกจนชำนาญจนไม่รู้ตัวว่าจิตหลอกแล้ว เป็นการหลอกขั้นที่หนึ่งส่วนขั้นที่สองฝึกให้กลางดวงแก้วนั้นมีร่างอะไรก็ได้นั่งอยู่ตรงกลาง สิ่งเหล่านี้เป็นการฝึกแต่มาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เรื่องการสร้างภาพนี้อย่าเข้าใจว่าเป็นกรณีของสำนักนี้เท่านั้นที่ทำได้
ในประเทศเนปาล อินเดียเหนือ และ ลัทธิมหายานทำกัน โดยมีพระโพธิสัตว์ประจำตัวและก็ใช้คำสอนว่าพระโพธิสัตว์มีรูปร่างอย่างไร หน้าตาอย่างไร แต่งกายอย่างไร ภาพรวมทั้งหมดมีการบอกกล่าวกันให้ทราบแล้ว ครูหรืออาจารย์ผู้สอนการนั่งสมาธิก็จะบอกให้รู้ว่าพระองค์ประจำตัวคนนี้หรือคนนั้นองค์นี้ คนที่ถูกฝึกก็จะนั่งจนกระทั่งเห็น ไปไหนก็จะมีพระโพธิสัตว์ไปด้วยแบบเดียวกันนี้เลย เมื่อเป็นได้ถึงขนาดเห็นได้ตามที่ถูกบอกไว้ ก็จะทำอะไรก็ได้ตามที่ถูกเจ้าลัทธิสั่งลงมา เป็นการเรียกจิตใต้สำนึก อาทิ เราเป็นเจ้าโลก เป็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อะไรก็จะที่สุดในโลก ในนามของชาติในนามของศาสนา
"เทคนิคดังกล่าวนี้ถูกนำไปใช้กันทั่วทั้งโลก รูปแบบการทำด้วยวิธีการเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงแต่เป็นเรื่องของความน่าสยดสยองเหมือน กับสาวสวยแต่เป็นเอดส์ซึ่งเราไม่รู้"
ทุกศาสนาภายหลังจากองค์ศาสดาสิ้นแล้วคำสอนมักถูกบิดเบือน เพราะไม่มีพระศาสดาคอยกำราบ อย่างธรรมกายก็เช่นกันมีในพระไตรปิฎกไม่กี่คำ แต่การตีความหมายพุทธพจน์นี้ แล้วแต่ผู้ที่นำมาตีความหมาย ถ้านับถือพระไตรปิฎกฉบับเถรวาท ซึ่งเป็นการรวบรวมถ้อยคำที่อ้างว่าเป็นพุทธพจน์ ตกทอดมา 2541 ปีแล้ว ในระหว่างที่กำลังตกทอดมานี้ ใครจะเอาอะไรไปแอบเสียบเข้ามาไม่มีใครรู้เลย แล้วยังวินิจฉัยยาก อีกประการหนึ่งคือคำที่ใช้ในพระไตรปิฎกสั้น ต้องอาศัยการตีความก็เกิดมีอาจารย์ตีความตามมาและเกิดอัตโนมัติจารย์ อัตโนมัติจารย์ก็คืออัตตาของผู้ตีความเป็น การตีความของสำนักโน่นนี่ซึ่งเป็นมติส่วนบุคคล จึงเป็นคำตอบได้ว่าการตีความคำว่าธรรมกายเป็นอัตโนมัติหรือพุทธมติ.