เดลินิวส์ 9/3/2543
เปิดโปง โกงวัดไปเล่นแชร์ ชม้อย 70 ล้าน ' ไชยบูลย์ 'ถึงช็อก
"ไชยบูลย์"ช็อกกลางศาล "พระอดิศักดิ์"เบิกความคดียักยอกทรัพย์ แฉพฤติกรรม นำเงินวัดพระธรรมกายไปเล่นแชร์ฉาวถึง 70 ล้าน ตั้งบริษัทแล้วขาดทุนป่นปี้ ซ้ำยังซื้อที่นับพันๆ ไร่ให้สีกาใกล้ชิดทำธุรกิจจัดสรร หน้าซีดเหงื่อแตกพลัก ทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ที่สุดทนายต้องขอความกรุณาศาลเลื่อนการพิจารณาไปวันที่ 15 มี.ค. อ้างอาหารเป็นพิษจู๊ดๆ กะทันหัน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 มี.ค. ที่ศาลอาญา ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์คดีนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย จำเลยที่ 1 กับพวก ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย โดยพระอดิศักดิ์ วิริยสกโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส อดีตเหรัญญิกวัดพระธรรมกายและมูลนิธิธรรมกาย พยานปากที่ 6 เบิกความว่า เมื่อครั้งยังอยู่ในวัดพระธรรมกายมีอำนาจลงนามในงบดุลบัญชีและสั่งจ่ายเช็ค โดยจำเลยที่ 1 มอบให้พระสุวิทย์ สุวิชาโภ ผู้ช่วยเหรัญญิก และเป็นผู้จัดทำงบดุลบัญชี นำเช็คเปล่าที่ไม่ระบุรายการมาให้เซ็น ก่อนจะให้พระทัตตชีโวและจำเลยที่ 1 เซ็น จากนั้นพระสุวิทย์จะประทับตราวัดพระธรรมกาย
สำหรับเงินของวัดจะได้มาจากโครงการเรี่ยไรต่างๆ การจัดงานวันสำคัญๆทางศาสนา มีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยจะมาดำเนินการนำฝากเงินถึงที่ในนามบัญชีวัด จากนั้นได้แบ่งไปฝากในธนาคารอื่นหลายแห่งเช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ส่วนเงินที่มีผู้บริจาคส่วนตัว จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีในนามส่วนตัวไว้ที่ธนาคารกรุงไทย รวมแล้วประมาณ 10 ล้านบาท
พระอดิศักดิ์ให้การว่า ภายหลังได้ทราบจากลูกศิษย์ว่ามีการนำเงินวัดไปเปิดบริษัทหลายแห่ง เท่าที่ทราบก็มีบริษัทน้ำมันอีสาน แต่ปรากฏว่าประสบความเสียหายจึงต้องเลิกล้มไป และจำเลยที่ 1 ยังได้มอบหมายให้พระเลอศักดิ์ ทองวิวัฒน์ คนขับรถสมัยเป็นฆราวาส นำเงินไปลงทุนเล่นแชร์แม่ชม้อย 70 ล้านบาทด้วย
สำหรับเรื่องที่มาของที่ดิน พระอดิศักดิ์ยืนยันว่า มาจากการซื้อขายเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ทราบได้นำเงินวัดไปซื้อที่ดินใกล้เคียงกับวัดถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 30 ไร่ โอนเป็นชื่อของใครไม่ทราบ แต่ครั้งหลัง 2,000 ไร่ ซื้อมาไร่ละ 20,000 บาท โดยใส่ชื่อสีกาคนสนิทที่ชื่อ "อ." เป็นเจ้าของ ซึ่งได้นำไปตั้งบริษัทจัดสรรที่ดินในโครงการตะวันธรรมตะวันทอง นอกจากนี้ยังมีการนำเงินวัดไปซื้อที่ดิน อีกหลายแห่งที่เชียงใหม่ สระบุรี กาญจนบุรี ตราด ทั้งนี้ ในการจัดซื้อจะมีนายถาวร พรหมถาวร จำเลยที่ 2 และแกนนำคนสำคัญได้นำแผนที่ป่าเสื่อมโทรมมาให้จำเลยที่ 1 เลือกว่าที่แห่งไหนเหมาะจะไปเช่าพื้นที่ปลูกป่า
ในปี 2530 เริ่มทราบว่ามีการยักยอกเงินวัดนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หลายๆอย่าง จนเกิดความไม่สบายใจจึงขอลาออกจากตำแหน่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องก็เห็นดีด้วย เพราะหากดำรงตำแหน่งอยู่จำเลยที่ 1 ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ จำเลยที่ 1 ยังเสนอว่าถ้าออกไปจากวัดพระธรรมกายจะสร้างวัดให้และเสนอเงินให้จำนวน 3 ล้านบาท พร้อมทั้งรถเบนซ์ด้วย แต่มีเงื่อนไขข้อแม้ว่าอย่าเล่าเรื่องภายในวัดพระธรรมกายให้ใครฟัง แต่เนื่องจากเห็นว่าเป็นเงินที่ญาติโยมบริจาคมาเพื่อสร้างวัด จึงไม่ขอรับเงินดังกล่าว
นอกจากนี้ พระอดิศักดิ์ยังเบิกความถึงพฤติกรรมส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ว่า เป็นคนเจ้าอารมณ์ ต้องการให้ผู้อื่นเคารพนบนอบ และรู้สึกอยู่เสมอว่าอยู่เหนือคนอื่นๆทั่วไป พร้อมอุปโลกตนเองว่าเป็น "ต้นธาตุต้นธรรม" หมายความว่าเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ลงมาปราบมาร คอยควบคุมสานุศิษย์ที่จะลงมาเกิดในโลกนี้ได้ อีกทั้งมีอำนาจสามารถสั่งให้ใครขึ้นสวรรค์หรือตกนรกได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่พระอดิศักดิ์เบิกความนั้นนายไชยบูลย์มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด หน้าซีดขาว กระวนกระวายและมีเหงื่อซึมออกมาตลอด ทั้งๆ ที่ห้องพิจารณาคดีเป็นห้องแอร์ หลังจากมีการเบิกความจนถึงเวลา 10.30 น. นายสนธยา โพธิ์แดง ทนายจำเลยได้ขอความกรุณาต่อศาลขอเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปในวันที่ 15 มี.ค. โดยระบุว่าจำเลยที่ 1 เกิดป่วยกระทันหันเนื่องจากอาหารเป็นพิษ ซึ่งศาลอนุญาติ พร้อมวินิจฉัยยกคำร้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ขอดูสำนวนการให้การในชั้นพนักงานสอบสวนของนายเชลียง เทียมสนิท นิติกรกรมการศาสนา ที่โจทก์คัดค้านว่าเป็นความลับทางราชการ เนื่องจากยังมีพยานที่กล่าวพาดพิงจะต้องมาเบิกความอีก รวมทั้งคำให้การพาดพิงถึงผู้ต้องหาอีก 3 รายที่ยังไม่ได้สั่งฟ้อง ซึ่งเหตุผลโจทก์ฟังขึ้น
ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดีแกนนำศิษย์คนสำคัญวัดพระธรรมกายหลายคนที่มานั่งฟังการเบิกความ พยานโจทก์ต่างแสดง ความไม่พอใจ และส่งเสียงต่อว่าพระอดิศักดิ์ บางคนก็หัวเราะเยาะ และนอกห้องพิจารณาคดีมีศิษย์บางคน มาดักรอเพื่อจะต่อว่าพระอดิศักดิ์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องคุ้มกันพระอดิศักดิ์อย่างใกล้ชิด
พระอดิศักดิ์กล่าวภายหลังให้การต่อศาลว่า มาให้ข้อเท็จจริง รู้อย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้มีจิตคิดร้ายหรือโกรธเคืองจำเลย แต่เป็นห่วงพระพุทธศาสนา เนื่องจากเรื่องนี้ลึกลับซับซ้อน การที่บรรดาศิษย์วัดพระธรรมกายแสดงความไม่พอใจ วิพากษ์วิจารณ์หรือต่อว่านั้นก็ไม่ได้รู้สึกกดดัน กลับคิดว่าอยากจะชวนให้มาฟังการพิจารณากันมากๆจะได้รู้ความจริง และการที่มีบางคนหัวเราะเรื่องต้นธาตุ ต้นธรรมที่อธิบายไปเป็นเพราะศิษย์เหล่านี้เป็นศิษย์ชั้นนอกจึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่ศิษย์ชั้นในทราบดีซึ่งเขาก็เชื่อจึงยอมทุ่มเทถวายชีวิตให้
"คดีนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนคงบอกไม่ได้ แต่เวรกรรมมีจริง ใครทำเวรกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมอย่างนั้น เมื่อความจริงปรากฏสุดท้ายทุกคนจะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร"