เดลินิวส์ 19/1/2543
ปลดลูกพี่ไชยบูลย์ ส่อเค้าวืดอีกแล้ว
ปลดยกยวงคณะผู้พิจารณา ชั้นต้นสอบนิคหกรรม "ไชยบูลย์" ส่อเค้าเหลว ประชุมมหาเถรฯวันที่ 19 ม.ค.ไม่มีเรื่องธรรมกายเข้าเป็นวาระปกติ อธิบดีกรมการศาสนาระบุจะเสนอเป็นวาระจรได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าคณะใหญ่ หนกลางส่งเรื่องมาให้ทันเช้านี้ ด้านคดีทางโลกเริ่มเข้มข้น ล่าสุดตั้งพนักงานสอบสวนเพิ่มอีก 8 นาย ส่งลงพื้นที่สางประเด็นฉาวที่เหลือ 9 ประเด็นเพิ่มเติม พร้อมเตรียมเอาผิด "สีกา อ." ที่มีชื่อถือครองที่ดินซึ่งได้มาด้วยเงินธรรมกาย
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ในวันที่ 19 ม.ค.ว่า จะมีการพิจารณาเรื่องที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นกรณีการสอบนิคหกรรมนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย โดยพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ได้รายงานสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าการสอบนิคหกรรมได้ยุติจบสิ้นแล้ว ซึ่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางจะมีข้อสังเกตุว่าความเห็นของพระพรหมโมลีผิดไปจากมติมหาเถรฯ ส่วนจะมีการลงโทษตามวินัยสงฆ์อย่างไร ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของมหาเถรฯ
รมว.ศึกษาฯยังกล่าวอีกว่า ไม่เคยทำอะไรเรื่องวัดพระธรรมกายเกินอำนาจหน้าที่ตามที่ศิษย์วัดพระธรรมกายกล่าวอ้าง หรือได้สั่งการพระสงฆ์ เพียงเป็นผู้ประสานให้เรื่องดำเนินไปด้วยความสะดวกเรียบร้อยเท่านั้น
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การประชุมมหาเถรฯในวันที่ 19 ม.ค.นี้ ยังไม่ทราบว่าสมเด็จพระสังฆราชจะทรงเข้าร่วมด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบจะไม่มีวาระเรื่องวัดพระธรรมกายเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งหากอธิบดีกรมการศาสนา จะเสนอเป็นวาระจร ก็ทำได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการมหาเถรฯด้วย นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ที่ประชุมมหาเถรฯจะมีการพิจารณาเรื่องวัดพระธรรมกาย หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งขณะนี้เอกสารความคิดเห็นของท่านยังไม่มีการส่งมาที่กรมการศาสนา แต่หากส่งมาในเช้าวันที่ 19 ม.ค.ก็สามารถเสนอเข้าที่ประชุมได้ทัน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 19 ม.ค. นายวิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาฯ และนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา จะเข้าชี้แจงกรณีการแก้ปัญหาวัดพระธรรมกายต่อคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ซึ่งทางกรรมาธิการได้เชิญพล.ต.ท.ล้วน ปานรสทิพ หัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย เข้าร่วมด้วย เพื่อชี้แจงและแสดงความคิดเห็นในเรื่องการดำเนินคดีทางอาญา
ทางด้านความคืบหน้าทางคดีอาญา มีรายงานข่าวแจ้งว่า ได้มีการเสนอชื่อพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายเข้ามาเสริมการทำงานเพิ่มอีก 8 นาย เฉพาะในส่วนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เนื่องจากยังมีอีก 9 ประเด็นที่จะต้องมีการขยายผลการสอบสวนให้ลงลึกไปอีก ดังนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงได้มีการจัดสรร กำลังติดตามแต่ละประเด็นกันใหม่ เช่นเรื่องที่ดินที่ "สีกา อ." สีกาใกล้ชิดนายไชยบูลย์ ที่ครอบครองอยู่ใน จ.ตราด ที่ดินของ "สีกา น." ที่ครอบครองอยู่ในหลายจังหวัด กรณีการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับผู้บริจาคเงินให้วัด และกรณีการร้องเรียนว่ามีการฉ้อโกงประชาชน เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าจากการแบ่งงานครั้งนี้จะช่วยให้การสอบสวนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในสัปดาห์หน้าพนักงานสอบสวนจะเริ่มลงพื้นที่ไปประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อสอบสวนในประเด็นที่เหลือเพิ่มเติม และนำผลสรุปเสนอต่อที่ประชุมในวันที่ 28 ม.ค.
นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่า ในส่วนของสีกา อ. ที่พนักงานสอบสวนเคยออกหมายเรียกมาสอบปากคำในฐานะพยาน กรณีเกี่ยวข้องในเรื่องการนำเงิน วัดพระธรรมกายไปจัดซื้อที่ดินแล้วใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้ครอบครอง แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือนั้น ในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนมีความเห็นว่าคงจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 19 ม.ค.นี้ ที่ห้อง 704 ศาลอาญา จะมีการนัดสืบพยานโจทย์คือนายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้ากลุ่มนิติกร กรมการศาสนา ในคดีนายไชยบูลย์กับพวกยักยอกทรัพย์ ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว
นายอุดม ศุภสินธ์ ประธานคณะกรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางด้านกฎหมาย สภาทนายความ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินการกรณีชาวบ้านจาก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ร้องเรียนว่าถูกบริษัทดอกหญ้า ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย หลอกลวงยักยอกที่ดินทำกิน 1,200 ไร่เศษว่า ขณะนี้กำลังรอเอกสารหลักฐานสำคัญที่ให้ชาวบ้านไปนำมามอบให้อยู่ จากนั้นจึงจะประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าจะสามารถดำเนินคดีอาญาได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ใบ ภบท.5 ที่ชาวบ้านมีอยู่นั้น เป็นการแสดงว่ารัฐบาลได้อนุญาตให้ผู้มีใบดังกล่าวทำกินในพื้นที่นั้นๆได้ แต่ห้ามจำหน่ายจ่ายโอน
ต่อกรณีที่ทางบริษัทดอกหญ้าได้ให้ชาวบ้านลงนามในเอกสารสั่งการซื้อขายนั้น นายอุดมกล่าวว่า ชาวบ้านไม่ได้ขายที่ดินให้ แต่ทางบริษัทบอกว่าจะขอแลกเปลี่ยนที่ดินกันเท่านั้น ซึ่งบริษัทจะจัดหาที่ดินทำกินให้ชาวบ้านแทนที่ดินเดิม แต่กลับไม่ดำเนินการ ชาวบ้านจึงมาร้องเรียนกับสภาทนายความให้ช่วยเหลือ
แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวนเปิดเผยถึงกรณีเดียวกันนี้ว่า พนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายเคยสอบสวน ที่ดินของบริษัทดอกหญ้าไปแล้วตามข้อกล่าวหาของตัวแทนกรมการศาสนา และได้ส่งเรื่องให้ตำรวจป่าไม้ดำเนินการตรวจสอบว่าบุกรุกที่ดินป่าสงวนหรือไม่ ซึ่งไม่เข้าข่ายที่พนักงานสอบสวนจะไปติดตามกรณีของชาวบ้าน แต่หากมีการร้องเรียนมา ก็จะต้องแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนขึ้นมาใหม่เพื่อดำเนินการกรณีนี้โดยเฉพาะ