เดลินิวส์ 22/12/2541

โวยวัดธรรมกายรังแกชาวบ้าน

"อาคม"หวั่นปัญหาธรรมกายถูกดองจนศาสนาล่ม สั่งระดมนักปราชญ์ตั้งเป็นกรรมการหาทางออกพร้อมดึง 2 มหาวิทยาลัยสงฆ์ศึกษาหาทางออก ส่งให้เจ้าคณะภาค 1-มหาเถรสมาคมเร่งตัดสิน ชาวบ้านคลองสองโวยวัดสร้างกำแพงกั้นถนน เข้า-ออกไม่ได้ เสร็จแล้ว "สีกาอี๊ด" โผล่บีบซื้อที่ราคาถูก พระนักศึกษาแพทย์ขอนแก่นที่บวชในวัดพระธรรมกายจนใกล้ถูกไล่ออก เขียนจดหมายโต้พ่อ-แม่บุญธรรมว่าโกหก ไม่เคยส่งเสียให้เรียน ทำเอาคนที่เคยให้เงินส่งเสียถึงกับต้องหลั่งน้ำตา
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นห่วงปัญหาวัดพระธรรมกาย เกรงว่าเรื่องจะยืดยาวไม่มีวันจบ จึงมอบหมายให้นายสุวัฒน์ เงินฉ่ำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ไปสรรหาบุคคลผู้มีความรู้เกี่ยวกับศาสนาทั้งในและนอกกระทรวง ตั้งเป็นคณะกรรมการพิจารณาปัญหาพร้อมข้อเสนอแนะ ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย เพื่อศึกษาวิจัยและเสนอทางแก้ปัญหา จากนั้นจะมีการส่งข้อสรุปดังกล่าวให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะประธานสอบปัญหาวัดพระธรรมกายตามมติของมหาเถรสมาคม รวมถึงเสนอให้มหาเถรสมาคมเพื่อประกอบการพิจารณา
"เวลานี้มีผู้วิจารณ์เรื่องวัดพระธรรมกายกันมาก ผมรู้สึกเป็นห่วงเกรงว่าเรื่องจะไม่จบ และส่งผลให้ศาสนาพุทธเกิดความล่มสลายได้ จึงได้ตั้งคณะกรรมการระดับกระทรวงหาข้อยุติ แต่ไม่ใช่ตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ยุติธรรมในหลาย ๆ ด้าน และจะมีศาสนาอื่นเข้ามาแทรกแซงรูปแบบต่าง ๆ จนเกิดความวุ่นวาย จึงต้องการให้ปัญหายุติโดยเร็ว ไม่อยากให้มหาเถรสมาคมปล่อยเรื่องทิ้งไว้ 2-3 เดือน โดยเฉพาะประเด็นการเผยแผ่ว่าผิดต่อหลักศาสนาพุทธหรือไม่"
ขณะเดียวกันมีชาวบ้านคลองสอง จ.ปทุม ธานี ร้องเรียน "เดลินิวส์" ว่าเดือดร้อนจากกรณีการก่อสร้างถนนในโครงการ "ถนนสีขาว" สำหรับใช้เป็นเส้นทางเข้า-ออกตรงถนนพหลโยธิน ด้านฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต หลักกิโลเมตรที่ 43 โดยเป็นถนนขนาด 4 ช่องการจราจร วิ่งเข้าไปยังพระธรรมกายเจดีย์ ซึ่งปรากฏว่าหลังการก่อสร้างถนนแล้วได้มีการสร้างกำแพงปิดกั้นไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปใช้ ความยาวของกำแพงประมาณ 500 เมตร โดยเจ้าของที่ดินบริเวณนั้นเป็นชุมชนเดียวที่ยังถือครองที่ดินอยู่ นอกนั้นเป็นของวัดหรือไม่ก็กลายเป็นของคนอื่น เช่นเป็นของนักธุรกิจที่มีการก่อสร้างตึกแถวริมถนนใช้ชื่อโครงการธรรมกิจนิเวศน์
หลังจากสร้างถนนเสร็จที่ดินสองฝั่งราคาสูงถึงไร่ละ 5 ล้านบาท จากที่เคยเป็นทุ่งนา โดยชาวบ้านร้องเรียนว่าหลังการสร้างถนนเสร็จได้มีนายทุนทั้งที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจากวัดบ้าง เป็นผู้สนใจปฏิบัติธรรมบ้างมาขอซื้อโดยตรงเพื่อก่อสร้างเป็นหอพักนักศึกษา หรือไม่ก็ต้องการทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรก็มี แต่ชาวบ้านไม่ขาย และหนึ่งในจำนวนนายหน้านั้นมีชื่อ สีกาอี๊ดŽ ด้วย รวมถึงมีการบอกว่า สีกาอี๊ดเป็นผู้เสนอให้สร้างถนนเส้นนี้
"ช่วงที่สร้างถนนแล้วเสร็จชาวบ้านต่างสรรเสริญวัดเพราะจะได้มีถนนใช้ แต่แล้วก็มีนายทุนสนใจเข้ามาซื้อที่ดินซึ่งเราไม่อยากกล่าวหาว่าวัดรู้เห็นกับการสร้างกำแพงปิดทางเข้าออกเพื่อซื้อที่ดินจากชาวบ้าน และการที่ชาวบ้านไม่ยอมขายที่ ไม่ใช่ต้องการราคาที่สูงกว่านี้ แต่เพราะมรดกตกทอดตั้งแต่ปู่ ย่า เราก็ยอมรับว่าถนนเป็นสิทธิ์ของวัดที่ตัดเข้ามา อย่างไรก็ตามหากมีเมตตาธรรมกับชาวบ้านก็น่าจะเปิดทางให้เข้า-ออก ตอนนี้เราต้องเจาะกำแพงเป็นรูหมาลอดเพื่อเข้า-ออก โดยคนเฒ่าคนแก่ต้องลำบาก"
ทางด้านพระวิเชียร วชิโร หรือพระวิเชียร มลอยู่พะเนา เขียนจดหมายชี้แจงถึง "เดลินิวส์"กรณีที่นายอภิรัตน์และนางสำเนียง ชาติพัฒนางกูร เข้าร้องเรียนว่า พระวิเชียรเป็นบุตรบุญธรรมและมาบวชที่วัดพระธรรมกายไม่ยอมสึกและจะทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยพระ วิเชียรกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวบิดเบือน
ประการแรกที่นายอภิรัตน์บอกว่าเป็นบิดาบุญธรรมก็ไม่เป็นจริง โดยนายอภิรัตน์ได้ให้พระวิเชียรมาอาศัยอยู่ในช่วง ม.5 และ ม.6 โดย ให้ทำงานบ้านและสอนหนังสือให้บุตรชายนาย อภิรัตน์ซึ่งเป็นเพื่อนของพระวิเชียร โดยนาย อภิรัตน์ให้เงินพระวิเชียรไปโรงเรียนวันละ 30 บาท นอกจากนั้นนายอภิรัตน์และนางสำเนียงไม่ได้กู้เงินมาส่งพระวิเชียรเรียนและไม่เกี่ยวกับการออกค่าใช้จ่ายเลย โดยคนที่จ่ายค่าเรียนคือนายเสมและนางบุญเทียม มลอยู่พะเนา ซึ่งเป็นบิดาและมารดา นอกจากนั้นยังได้ทุนจากมูลนิธิศรีวิสารวาจาและคุณหญิงกัทลีวรรณ ลออคุณ รวมถึงการที่นายอภิรัตน์บอกว่าได้รับน้องชายพระวิเชียรมาอยู่ด้วยก็ไม่จริงเพราะยังอยู่ในการดูแลของพ่อและแม่ของตนเอง
ส่วนการบวชที่วัดพระธรรมกายพระ วิเชียรยืนยันว่าไม่ได้ทำให้ถูกคัดชื่อออกจากมหาวิทยาลัย เนื่องจากเดิมทีพระวิเชียรบวชในช่วงฤดูร้อนเดือนมีนาคม 2541 เมื่อสิ้นสุดโครงการแล้วมีจิตศรัทธาจึงขอบวชต่อแค่ 1 ปี และเมื่อครบกำหนดแล้วจะสึกออกไปเรียนต่อได้เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวเข้าพบนายอภิรัตน์และนางสำเนียงอีกครั้งและนำจดหมายที่พระวิเชียรชี้แจงให้อ่าน ซึ่งทำให้ทั้งคู่ถึงกับหลั่งน้ำตาและว่าถึงแม้ไม่ได้จดทะเบียนรับพระวิเชียรเป็นบุตรบุญธรรมก็รักเหมือนลูก และได้พบพ่อแม่ของพระ วิเชียรแล้วซึ่งก็เสียใจเช่นกัน แต่ขออโหสิกรรมให้พระวิเชียร ขอให้กลับเนื้อกลับตัวทุกอย่างที่ตนบอกเป็นความจริง ตนไม่ใช่เลี้ยงนายวิเชียรคนเดียวแต่ส่งเสียคนมาหลายคน ทุกคนบอกว่าให้เลิกเลี้ยงคนอกตัญญูได้แล้ว และที่ว่าตนให้เงินพระวิเชียรวันละ 30 บาท แลกกับการทำงานบ้านก็เสียใจ เพราะส่งเสียตลอดทั้งค่ากินอยู่ ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ เสื้อผ้า ส่วนน้องพระวิเชียรก็จะมาอยู่กับตนเมื่อจบ ป. 4 แล้ว