สีกา-ธุรกิจ-เงินบริจาค
3ปมปริศนาธรรมกาย??

ความพร่ามัวของวัดพระธรรมกาย ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ
ซึ่งมีนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นประธาน กำลังสอบข้อมูลของพระบางรูปในวัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ และข้อกล่าวหาว่ามีสีกาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีการนำเอาข้อมูลจากอดีตพระรูปสำคัญของวัด 2 รูปคือพระมโน เมตตานันโท ซึ่งจบการศึกษาปริญญาโทจาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และกำลังศึกษาปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยฮัมบรูก ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการพระพุทธศาสนา ในเลขาธิการใหญ่องค์การสัมมนาศาสนา และอดีตพระแกนนำวัดพระธรรมกาย และพระอดิศักดิ์ วิริยธกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาเป็นหลักฐานในการสืบค้นข้อเท็จจริงตอ่ไป
และ ณ ขณะนี้ทั้งพระมโน และพระอดิศักดิ์ ต้องยอมเปิดตัวและเปิดเผยเรื่องราวให้กับ "เดลินิวส์" โดยประเด็นสำคัญที่น่าสนใจก็คือข้อกล่าวหาสีกาที่เกี่ยวกับวัด ธุรกิจ และวงเงินที่วัดมีอยู่
สำหรับสีกาคนแรกที่พระมโนกล่าวถึงคือสีกาอี๊ด ซึ่งเป็นสีกาคนสำคัญของวัด และได้รับความเกรงใจอย่างสูง แม้บางครั้งที่วัดมีการประชุมกันอยู่ ต้องเลิกประชุมเมื่อสีกาอี๊ดมาถึง การพูดจากับสีกาอี๊ดของพระบางรูป จะใช้คำหวานเป็นพิเศษ โดยสีกาอี๊ดทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินด้วย
"พูดแล้วก็ไม่น่าเชื่อ อย่างเช่นเรื่องค้าอาวุธ มีสีกาอีกคนชื่อโยม ส. ทำธุรกิจค้าอาวุธ และเคยมีการนำเรื่องธุรกิจของตัวเองมาพูดในวัด อาตมาเคยหยิบเอกสารของสีกาส.เอามาดู และตกใจมาก แต่มีบางเหตุการณ์ที่ทำให้สีกาส. โกรธแค้นมาก หายไปไม่มาวัดอีกเลย "
พระมโนกล่าวอีกว่านอกจากนั้นในกิจการโทรคมนาคมมีสีกา ว. ซึ่งมีหัวทางการค้า ศรัทธาวัดมาหารือบ่อยๆ เกี่ยวกับธุรกิจ สื่อสาร และปรากฎว่า ได้มีพระบางรูปมีการนำข้อมูลของสีกาว. ไปตั้งบริษัทธุรกิจ เกี่ยวกับการสื่อสารเป็นคู่แข่ง แรก ๆ สีกาว.ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ยังมาบ่นให้พระในวัดฟัง พอรู้ความจริงในภายหลัง เธอเจ็บปวดมากไม่มาวัดอีกเลย แต่เป็นประเภทเจ็บแล้วไม่จำ กลับมาอีกตอนแม่ป่วยหนักมาก อยากให้แม่ขึ้นสวรรค์ จึงอยากช่วยให้แม่ไปอยู่บนสวรรค์ สุดท้ายสีกาว. ก็ทุ่มซื้อที่ให้แม่อยู่สวรรค์
ขณะเดียวกันพระอดิศักดิ์ กล่าวว่ามีสีกาหลายคนเข้ามาทำบุญกับวัด และเป็นนักธุรกิจหลายคนจริง อาทิมีเศรษฐีนีคนหนึ่งเข้ามาทำบุญแรก ๆ จะทําไปแค่หมื่นกว่าบาท แต่พอเจอการเกลี่ยกล่อม โดยนำไปอบรมถึงเชียงใหม่ ก็เขียนเช็คให้ 10 ล้านบาท และเมื่อมาบอกสามีว่า ทําบุญไป 10 ล้านบาท สามีภรรยาคู่นี้ก็ไม่มองหน้ากัน ครอบครัวแตกกระจายกันเหลือแต่ลูกเท่านั้นที่เป็นสายใยอยู่
พระอดิศักดิ์กล่าวอีกว่า ยังมีสีกาที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ช่อวาด เข้ามาในวัดอีก และมีปัญหาเรื่องเงินเรื่องทอง จนขณะนี้สีกาวาดต้องอยู่ต่างประเทศ
"บางคนก็มาร้องเรียนกับอาตมาว่าถูกโกง อาตมาเคยถามเขาว่า ทําไมไม่เล่าให้โยมคนอื่นฟังเขาบอกว่าอายเขา มีคนเตือนมาเยอะก็ไม่เชื่อยังดันทุรังไปก็เลยโดนหลอก"
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของสีกาคนสำคัญที่พระอดิศักดิ์กล่าวถึง คือสีกาอี๊ด ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของพระมโน โดยสีกาอี๊ดจะมีบทบาทในวัดมาก และจะเกี่ยวข้องเรื่องเงิน เรื่องทองของวัด ถือเป็นสีกาคนสนิทของวัดที่มีอํานาจ
"สีกาท่านนี้ตัวเล็ก ๆ พูดเก่ง ทองเต็มตัว สามีเป็นข้าราชการ ได้รับความไว้วางใจเพราะพูดเก่ง และจะมีธุรกิจในมือหลายอย่างอายุประมาณ 40 กว่าปี "พระอดิศักดิ์กล่าว
ส่วนเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวพัน และวงเงินที่วัดพระธรรมกายมีอยู่ พระมโนกล่าวว่า ไม่ทราบแน่ชัด วัดมีเงินเท่าใด แต่รู้ว่ามาก และทำให้เกิดความวุ่นวาย โดยเคยมีความพยายามจะแก้ไขเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยข้อเสนอให้ปรับปรุงโครงสร้างของวัดใหม่ โดยพระมโนเป็นผู้ผลักดัน และครั้งนั้นมีข้อตกลง 3 ข้อ
ประการแรกก็คือ ทางวัดจะหยุดบอกบุญชั่วคราวอย่างน้อย 1 ปี เพื่อชะลอทุกอย่าง เพราะทุกคนเหนื่อยกันมามาก เฉพาะแค่ 10 ปีก่อนนั้น วัดมีเงินถึง 300-350 ล้านบาทแล้ว พอที่จะอยู่สบายนั่งปฎิบัติธรรมหลับตาได้โดยไม่ต้องบอกบุญเลย
ประการที่สอง จะต้องจัดองค์การใหม่ ให้ทุกคนมีส่วนรวมในการตัดสินใจและกระจายอํานาจ มีการเขียนธรรมนูญองค์กรขึ้นมา โดยยกร่างมากระจายอํานาจแบ่งเป็นงานส่วนเป็นฝ่าย เพราะ การบริหารงานสมัยใหม่กระจายอํานาจ ไม่ใช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง
"ครั้งนั้นมีการประชุมกันทุกวันไม่มีวันหยุด แล้วก็เนื้อหาการประชุมนั้นห้าร้อยกว่าชั่วโมง ว่าด้วยรูปแบบต่าง ๆ ที่จะให้วัดสามารถอยู่ได้ แล้วก็สามารถกระจายอํานาจไปได้ ไปตั้งสํานักที่ไหนก็มีสูตรสําเร็จ เขียนเป็นธรรมนูญขององค์การเรียกว่าธรรมบัญญัญิซึ่งไม่มีวัดไหนมี เราทุกคนต้องเคารพในกฎเกณฑ์เหล่านี้ ปรากฎว่าพอยิ่งทํางานมากขึ้น เริ่มเกิดไม่พอใจมากขึ้น ๆ ทุกที"
พระมโนกล่าวอีกว่า ระหว่างการยกร่างธรรมบัญญัติ พระมโนได้รับการติดต่อจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ประเทศสหรัฐฯ พอดี ให้ไปเป็นนักศึกษารับเชิญ จึงเดินทางไปสหรัฐฯ และหลังจากนั้น พระมโนก็ออกจากวัดพระธรรมกายอย่างถาวร
ขณะที่พระอดิศักดิ์กล่าวถึงเรื่องเงินว่า ไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอนเช่นกัน เพราะไม่ได้เป็นคนทําบัญชี และมีการบริจาค เพียงแต่รู้ข้อมูลเมื่อประมาณปี 2524 วัดมีเงินทั้งหมด 50 ล้านบาท ที่เอาไว้เก็บผลดอกกิน
แต่ถึงแม้มีเงินนับสิบ ๆ ล้าน ก็ยังไม่พอ และตั้งเป้าจะหาให้ได้ถึงร้อยล้าน พอถึงร้อยล้านก็ต้องหาพันล้านบาท
วันที่วัดจะได้เงินบริจาคมาก ๆ คือการทําบุญวันอาทิตย์ต้นเดือน เพราะจะมีรถไปรับแต่ละจุดเช่นที่อนุเสาวรีย์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง หรือเมื่อถึงวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ก็จะมีรถออกไปรับถึงต่างจังหวัดเช่นวันมาฆบูชา วัดทอดกฐิน
"บางวันได้เงินเป็น 10 ล้านบาท หรืองานสำคัญอย่างกฐิน หรือวันมาฆบูชา การทําบุญแต่ละครั้งวงเงินที่เปิดเผยกันจะสูงถึง 20-30 ล้านบาท ที่ไม่เปิดเผยอีกก็มี แต่ละครั้งการนับเงินแทบจะยกมาทั้งธนาคาร เพราะเงินมันเยอะมาก ทั้งสาขาเล็กสาขาใหญ่ของธนาคารหมุนเวียนกันสลับกันมานับเงิน แล้วหลังจากนั้นก็จะแยกฝากไว้แต่ละสาขา แต่ละธนาคาร ล้วนแต่เป็นธนาคารใหญ่ ๆ แต่เงินทั้งหมดไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามีเท่าไหร่ และใช้ไปในกิจการใดบ้าง"
ความจริงทั้งหมดนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีความจริงใจ และกล้าพอที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงออกมาโดยเร็วที่สุด
ไม่มีอะไรต้องหวั่นไหว ทองแท้ก็ต้องเป็นทองแท้วันยังค่ำ จะหลอมละลายเป็นตะกั่วได้อย่างไร
จริงไหมพระคุณท่านธัมมฺชโย!!!