การสางเสี้ยนศาสนาเล่นงานพระปลอม "ไชยบูลย์ สุทธิผล" บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้การชำระล้างพระศาสนาแจ่มชัดขึ้น ก็คือ ม.ล.จิตติ นพวงศ์ หรือที่รู้จักกันดีในฐานะ ศิษย์ห้องกระจก อันลือลั่นสั่นสะท้านหัวใจเดียรถีย์

ความจริงม.ล.จิตติ เป็นศิษย์วัดบวรฯมาเนิ่นนานแล้ว เนื่องจากเป็นหลานของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ สุจิตโต) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงอิสริยยศ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์ระหว่างปี พ.ศ. 2488-2501

ต่อมาชื่อของคำว่า "ศิษย์ห้องกระจก" ก็เกิดขึ้น เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ปัจจุบัน ทรงมีพระประสงค์จะสร้างวัดญาณเวศกวัน ที่พัทยา จ.ชลบุรี จึงมีความจำเป็นต้องมีสำนักงานสำหรับใช้ติดต่อธุรกิจต่าง ๆ จึงแยกส่วนงานด้านธุรการออกไปอยู่ในห้องกระจก และเกิดเป็นที่มาของคำว่า "ห้องกระจก" เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในวัดบวรฯ

และขณะที่ปัญหาธรรมกายปะทุลุกลามขึ้น ชื่อเสียงศิษย์ห้องกระจกก็ต้องเผยแพร่สู่ภายนอก เพราะไปขัดขวางขบวนการอุ้มเดียรถีย์ ที่หวังเอามือเดียวบังฟ้า เมื่อสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีความห่วงใยและต้องการแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น จึงมีลายพระหัตถ์ฉบับแรกเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกายไว้ 2 ประเด็นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2542

ประเด็นแรก ทรงวินิจฉัยว่า วัดพระธรรมกายมีคำสอนที่ผิดเพี้ยนบิดเบือนคำสอนในศาสนา กล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง ทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไป กลายเป็นสอง เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก

ส่วนประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับสมบัติใด ๆ ที่ได้มาขณะที่เป็นพระ การทำที่ถูกต้องคือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที

แต่ลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชที่ได้ประทานไป ก็กลายเป็นสิ่งที่เงียบหาย ไม่มีข่าวเกี่ยวกับลายพระหัตถ์แม้แต่น้อย และที่สำคัญมีการ "อม" ลายพระหัตถ์ไว้โดยบุคคลไม่ทราบชื่อหรือปรากฏชัดว่านับถือศาสนาใด

และม.ล.จิตตินี้เองที่เป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่าลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช ในการจัดการปัญหาวัดพระธรรมกายหายไป !!!!

เท่านั้นเอง ทำให้ภาพของม.ล.จิตติเปิดเผยสู่สาธารณะและเป็นเป้าหมายที่ขบวนการอุ้มมารศาสนาจ้องถล่ม

ลำพังลายพระหัตถ์ฉบับแรกก็ทำให้กลุ่มเดียรถีย์ดิ้นพล่าน ๆ เหมือนกับไส้เดือนเจอขี้เถ้า ต่อมาได้มีลายพระหัตถ์ฉบับที่ 2 ของสมเด็จพระสังฆราชที่ออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 เม.ย.อีก ก็ยิ่งทำให้ขบวนการเสี้ยนศาสนาเหมือนกับโดนฟ้าผ่ากลางกบาล

เพราะลายพระหัตถ์ฉบับนั้นระบุชัดว่าการที่นายไชยบูลย์ ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดเจนว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับพระปลอมที่นำเอาผ้าเหลืองมาห่ม ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา

แต่แทนที่ลายพระหัตถ์ฉบับนี้จะได้รับการปฏิบัติ การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลงานด้านศาสนาอย่าง นายอาคม เอ่ง ฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ ที่เมื่อทราบว่ามีลายพระหัตถ์ออกมา ก็ถึงกับกล้าพูดออกมาว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ก้าวก่ายงานของมหาเถรสมาคมฯ

นอกจากนั้น นายอาคมยังทำสิ่งที่เหลือเชื่ออีก ก็คือการซัดศิษย์ห้องกระจกอย่างเต็มเปา โดยนายอาคมกล่าวว่า ลายพระหัตถ์ฉบับที่ 2 นี้ อาจจะมาจากศิษย์ห้องกระจก

"ศิษย์ห้องกระจก" ก็ดังเป็นพลุ เพราะกลายเป็นเป้าหมายถูกเล่นงานของ ขบวนการจาบจ้วงลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชอย่างเป็นระบบ นับตั้งแต่การพลิกพลิ้วของวัดพระธรรมกายที่ว่าลายพระหัตถ์ไม่ได้ระบุชื่อวัด หรือไม่ได้ระบุชื่อตัวบุคคล รวมไปถึงการพูดกับแบบปากต่อปากจากกลุ่มต่าง ๆ ว่าลายพระหัตถ์เป็นของปลอม แม้กระทั่งในหมู่บุคคลระดับบริหารของประเทศก็เถอะ ยังมีการบังอาจพูดว่าลายพระหัตถ์น่าจะเกิดจากฝีมือศิษย์ห้องกระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ที่สำคัญได้มีการจัดทำใบปลิวโจมตีลายพระหัตถ์โดยกล่าวอ้างอย่างไม่เกรงนรกว่าศิษย์ห้องกระจกทำขึ้น ในช่วงที่สมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร และ "ศิษย์ห้องกระจก" ยึดอำนาจของสมเด็จพระสังฆราชไปแล้ว

ข้อความใบปลิวนรกดังกล่าวได้แจกจ่ายออกไปทั่วประเทศ ทั้งการส่งทางไปรษณีย์, ส่งทางเครื่องโทรสาร หรือแจกในหมู่บ้าน ไม่มียุคสมัยใดที่สมเด็จพระสังฆราชจะถูกจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติมากขนาดนี้ โดยที่ไม่มีการออกมาปกป้องจากคนของรัฐ !!!!

และสุดท้ายขนาดที่ว่าบุคคลที่ห่มเหลืองเรียกตัวว่าพระ มาจากสุพรรณ บุรี ก็วิ่งโร่ร้องเรียนต่อกองปราบปรามให้ตรวจสอบความถูกต้องของลายพระหัตถ์

แต่เรื่องทั้งหมดก็กระจ่าง เมื่อพระราชรัตนมงคล ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ทำหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการว่าลาย พระหัตถ์ทั้งหมดถูกต้อง

อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดจะต้องมีผู้รับผิดชอบ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็กำลังตรวจสอบขบวนการใบปลิวนี้อยู่

แน่นอนนายอาคมนี่แหละต้องรับผิดชอบด้วย โดยในครั้งแรก ๆนายอาคมอาจได้รับความเห็นใจว่าไม่รู้เรื่องลายพระหัตถ์จริง แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา นายอาคมก็ไม่ได้แสดงท่าทีจะปกป้ององค์ประมุขสงฆ์ ด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองที่กล่าวออกไป อย่างน้อยสุดก็ต้องทำในฐานะลูกผู้ชายที่เมื่อทำผิดไปแล้วต้องกล้ายอมรับผิด !!!!

และจริง ๆ แล้วนายอาคมไม่มีสิทธิที่จะสงสัยในลายพระหัตถ์แม้แต่น้อย เนื่องจากลายพระหัตถ์ฉบับแรก นายชวน หลีกภัย นายก รัฐมนตรี ได้รับประทานจากสมเด็จพระสังฆราช เมื่อครั้งที่เข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 20 เม.ย. และนายชวนเองก็ได้มาสั่งการให้นายอาคมเร่งจัดการเรื่องที่ดิน จึงยากที่นายอาคมจะมาอ้างไม่รู้ไม่เห็นความถูกต้องของลายพระหัตถ์ไม่ได้

กรรมที่นายอาคมทำไว้ ม.ล.จิตติ ศิษย์ห้องกระจกเคยกล่าวไว้ว่าอาจจะฟ้องร้อง ตามพ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 มาตรา 44 ทวิ กำหนดไว้แน่ชัดว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

เรื่องนี้จะมีผลสรุปอย่างใด ก็คงเป็นไปตามพุทธพจน์ที่ว่า "สัตว์โลกเหล่าใดย่อมเป็นไปตามกรรม" !!!.