กลายเป็นความยืดเยื้อที่ไร้ความหวังเหลือเกิน กับการเปลื้องผ้าเหลืองจาก "ไชยบูลย์ สุทธิผล" ทั้งที่ว่ากันตามเนื้อผ้าไม่เอนเอียงแล้ว หลักฐานชัดเจนที่สุดก็ว่าได้ ตั้งแต่อวดอุตริมนุสธรรม การบิดเบือนพระไตรปิฎก ถึงการกว้านซื้อที่ดินจะด้วยเงินส่วนตัวหรือเงินวัด แต่มันก็คือเงินที่ได้มาขณะที่ห่มผ้าเหลืองทั้งสิ้น

มันไม่เป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนาแม้แต่น้อยนิด

กลายเป็นความแตกแยกในสังคมชาวพุทธ เกิดการแบ่งฝ่ายในคณะสงฆ์ ตามมติมหาเถรสมาคมที่ให้ดำเนินการกับ "ไชยบูลย์" ตามกฎนิคหกรรม ซึ่ง ธงทอง จันทรางศุ นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การดำเนินการดังกล่าวแม้เป็นเรื่องถูกต้องแต่ต้องทำให้รวดเร็ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า) ทรงมีพระมหาวินิจฉัย เกี่ยวกับการต้องอธิกรณ์ที่พระสงฆ์ทำผิดทั้งหลาย และประทานพระมติไว้ว่า เรื่องอธิกรณ์สงฆ์จำเป็นที่จะต้องระงับให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก จะทำให้ศาสนาผ่องแผ้วและปราศจากข้อระแวงสงสัยของคนทั้งหลาย การทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ดีอยู่แล้ว แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องระยะเวลา อย่าให้ล่าช้า ศาลปกติมี 3 ชั้น แต่ละชั้นใช้เวลา 1 ปีถึงฎีกาก็ 3 ปี แต่ในหลายคดีที่มีหลักฐานมั่นคงและมีความเอาใจใส่ก็สามารถเร่งรัดกระบวนการได้

ความล่าช้าที่เกิดขึ้นมานี้เองจึงเป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนไทยอึดอัด มันกลายเป็นความท้อแท้ต่อศรัทธาในตัวแทนพระพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึง พระสงฆ์ นั่นเอง ทำให้มีจดหมายและโทรสารที่หลั่งไหลเข้ามายังกองบรรณาธิการน.ส.พ.เดลินิวส์หลายต่อหลายฉบับ หลังเกิดมติอัปยศของมหาเถรฯในความรู้สึกของคนไทย บรรยายภาพที่ชัดเจนต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปัญหาวัดพระธรรมกาย แนวทางแก้ไขและสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ มีทั้งที่เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรอง ที่เขียนมาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ด่าพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ประณาม "ไชยบูลย์" ร้อยแปดพันเก้า ยกตัวอย่างเช่น ไปรษณียบัตรของผู้ที่ใช้นามว่า ชาวบ้านรามอินทรา ที่แสดงความรู้สึกสิ้นหวังว่า

ข่าวจากการประชุมมส. 10 พ.ค. 42 มหานิกายว่า ลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชเป็นสิ่งที่ชอบแล้วในหลักการพระธรรมวินัย แต่การลงโทษปาราชิกนั้นถือเป็นการข้ามขั้นตอนทางกฎหมาย ที่ประชุมจึงเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องนำเข้ากระบวนการสงฆ์ และให้หาโจทก์กล่าวโทษ เพื่อจะได้ดำเนินการ กรรมการมส.ได้สั่งให้กรมการศาสนาออกไปชี้แจงว่า มหาเถรฯเห็นชอบตามลายพระหัตถ์...... และขอให้ประชาชนที่มีข้อข้องใจ นำหลักฐานมาร้องเรียน......มส.จะตัดสินไม่ได้หากไม่มีการสอบสวน ทั้งมส.ทั้งพระในสายการปกครองตามลำดับ ช่างหลับหูหลับตาปัดสวะ ใครที่รู้เรื่องหลักฐานพระย่ามตุง กรุณาเสนอมาเปิดเผย อย่าปล่อยให้พระย่ามตุง ลอยนวลŽ

หรืออย่างของ ปรัชญา ที่เขียนมาบอกว่า ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้รู้สึกหดหู่ในพุทธศาสนา คือกรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยส่วนตัวไม่ชอบวัดนี้มานานแล้วตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ไม่ชอบคำสอน ไม่ชอบอุโบสถ ที่นำเอารูปแบบศิลปะไม่ได้เรื่องมาใช้ กรณีธรรมกายนั้นมีมาเนิ่นนานจนไม่รู้ว่า ผู้มีอำนาจในแต่ละยุคปล่อยมาได้อย่างไร ปล่อยให้มันโตขึ้นกว่านี้จะแก้ไขได้ยาก สมัยที่ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่มีคนถามว่าท่านกลัวอะไรมากที่สุดหากได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านตอบว่า กลัววัดพระธรรมกายที่สุด ท่านเป็นปราชญ์ที่มองการณ์ไกลโดยแท้ แต่ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจสมัยนี้ไฉนไม่เห็นความเลวร้ายขนาดนี้ แม้ทุกวันนี้ก็ทำงาน ชักช้า ขนาดเห็น ๆ ว่า ทำสิ่ง เลวร้ายมากมาย ทั้งทางด้านพุทธศาสนา ด้านสังคม ด้านความมั่นคงของชาติ อย่าไปกลัวคนกลุ่มหนึ่ง เราควรเห็นแก่ ชาติและศาสนา มากกว่า ต่อให้เหลือเราคนเดียวในโลกก็ควรสู้เพื่อธำรงพระพุทธศาสนาไว้จนตัวตาย

ปรัชญา บอกความผิดของ "ไชยบูลย์" ว่า สอนสั่งผิดเพี้ยนจากหลักธรรม บัญญัติขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการสร้างรายได้ ระดมสาวกออกหลอกผู้คน อ้างตัวเป็นผู้นำบุญ ล้างสมองเยาวชนในสถานศึกษาซึ่งเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง หากว่าปล่อยอย่างนี้ต่อไป เยาวชนกว่า 20 ล้านคน หากกลายเป็นสาวกลัทธินี้แค่ 10% อนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน .......

โอ้อวดอุตริมนุสธรรมถึงขั้นต้องปาราชิก บอกว่ากลับชาติมาเกิดเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นภัย เพราะโลกจะแตกล่มสลายเหลือเพียงมหาธรรมกายเจดีย์ และผู้บริจาคสร้างธรรมกายเจดีย์กับพระธรรมกายประจำตัวเท่านั้น บอกว่าเข้าเฝ้าฯองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าถวายข้าวพระ ซึ่งมีเพียงตนเองกับแม่ชีจันทร์ ขนนกยูงเท่านั้นที่ทำได้ บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงโปรดคนที่สร้างวัดใหญ่ ๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความสับสน เพราะที่จริงเรามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่มีประวัติ หลักฐาน และคำสอนที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

นั่นคือข้อความที่บรรยายออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ

มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เขียนจดหมายแต่โทรศัพท์มาจากต่างจังหวัด อยากระบายความรู้สึก อยากแสดงความคิดเห็น แต่ไม่สามารถกระทำได้เพราะไม่ได้อยู่ในกท. ก็ไม่เป็นไรโทรฯไปที่ศูนย์เฉพาะกิจธัมมชโยก็ได้ เบอร์ 437-9445,437-9450 หรือส่งความเห็นคัดค้านไปที่คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา 124 ซอยวัดทองนพคุณ ถนนสมเด็จ เจ้าพระยา คลองสาน กท. 10600 ก็ได้เหมือนกัน

แต่ก็ไม่ใช่มีแต่จดหมายที่เสื่อมศรัทธาสิ้นหวังในกระบวนการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายเท่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ข่าววัดพระธรรมกายเริ่มเกรียวกราวนั้น ก็มีจดหมายที่ส่งมาจากผู้ศรัทธาวัดพระธรรมกายเป็นจำนวนมาก อันเนื่องมาจาก พระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสได้เทศน์ขอ ร้องให้ผู้มาปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งให้เชิญชวนญาติมิตร ลูกหลานเด็กอนุบาลเด็กประถม ช่วยกันเขียนจดหมายแบบนี้ส่งไปยังกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เพื่อสื่อมวลชนจะได้รู้ว่าภาย ในวัดเขาทำอะไรกัน ขอร้องกันอย่างนี้หลายสัปดาห์ติดต่อกัน จำนวนก็เลยมากและเนื้อหาก็คล้ายกันหมด แทบจะลอกเลียนแบบกันมาเลยก็ว่าได้

ตัวอย่างโดยสรุปก็เช่นของ วิภาวดี บอกว่า ได้ค้นหาสังคมที่แกต้องการมานาน สังคมที่มีคนดี สังคมของผู้มีศีล ช่วยเหลืออุปถัมภ์เกื้อกูลกัน พูดจาดี แบ่งปันกัน เคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน ไม่มีของหายแม้นว่าจะลืมไว้ในที่สาธารณะ และก็เพิ่งพบว่าศาสนาพุทธก็มีสังคมเช่นนี้เมื่อได้มาที่ วัดพระธรรมกาย ดีใจและปลื้มใจเป็นที่สุดที่ได้เข้าสู่วัดนี้ ทั้งที่ก่อนเข้ามาในวัดนี้ได้ยินเรื่องเล่าขานในทางต่าง ๆ มากมายเช่น วัดคอมมิวนิสต์ ซ่องสุมอาวุธปืนบ้าง วัดมหาเศรษฐีบ้าง แต่เมื่อได้ย่างก้าวเข้ามาด้วยใจที่เป็นกลางก็พบว่านี่แหละคือสิ่งที่เราค้นหามานาน เลยศรัทธาวัดพระธรรมกายและหลวงพ่อ (ไชยบูลย์)

แม้เป็นเนื้อหาสั้น ๆ แต่ก็ได้ใจความครอบคลุมว่า เขามีความรู้สึกอย่างไรที่เข้าไปสัมผัสกับวัดพระธรรมกาย และรู้สึกอยากชักชวนคนภายนอกให้เข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่เขาและหล่อนได้สัมผัสว่างั้น

วันนี้ปัญหากรณีธรรมกายยังไม่มีข้อยุติ

แต่ศรัทธาและความหวังของประชาชนสิ้นสุดไปแล้ว ไปพร้อมกับมติมหาเถรฯ และการดำเนินการของฝ่ายบ้านเมือง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ และกรมการศาสนา

ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาได้จากจดหมายเหล่านี้เองเถอะ สังคมไทยตกอยู่ในอันตรายแค่ไหน !!.