ไม่ใช่เรื่องที่จะจบลงอย่างง่ายดายเสียแล้ว กับเสี้ยนศาสนาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ซึ่งต้องยอมรับในความอิทธิพลในวงการศาสนา กระทั่งลายพระหัตถ์ 6 ฉบับของสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า ต้องปาราชิก จนกลายเป็น อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังไม่แจ่มแจ้งพอที่จะทำให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายในมหาเถรสมาคม มีมติออกมาเห็นพ้องต้องตามลายพระหัตถ์

คงมีมติเป็นเพียงการเลี่ยงบาลี เพื่อลดกระแส

โอบอุ้มโล้นห่มผ้าเหลืองหลบภัยหลังผ้ากาสาวพัตร์เท่านั้น

ดูจะเป็นเรื่องที่แตกต่างและไม่แตกต่างไปจากคดี อดีตพระยันตระ เท่าใดนัก ที่แตกต่างกันก็คือแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้น พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นกรรมการมหาเถรฯครั้งนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นชุดเดียวกับที่พิจารณาโทษ ไชยบูลย์ สุทธิผล นี่แหละ กลับพิจารณาลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชในครั้งนั้นสอดคล้องโดยมิมีการท้วงติง เป็นการไม่ท้วงติงทั้งจากฝ่ายฆราวาสและฝ่ายสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวกธรรมกาย

ทั้งที่ลายพระหัตถ์ครั้งกระนั้น ไม่รุนแรงเฉกเช่นครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ ครั้งนั้นไม่ได้ระบุชื่อพระชื่อวัด ระบุแต่โทษทัณฑ์และข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น สำนึกก็ประกายขึ้นทันทีว่า พระรูปใด สงฆ์องค์ไหน ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงปรารภถึง แต่กลับของ ไชยบูลย์ สุทธิผลž กลับไม่เป็นเช่นนั้น ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์พิจารณาใหม่ว่า ลายพระหัตถ์ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีออกมานั้น ใช่ลายพระหัตถ์ ใช่พระบัญชา หรือเป็นแค่ พระดำริ เท่านั้น แล้วก้ตัดสินกันว่าเป็นแค่ พระดำริ

แต่ที่ไม่แตกต่างไปจากคดีอดีตพระยันตระก็คือ การยื้อเวลาออกไปด้วยการให้ดำเนินการนำเข้ากระบวนการสงฆ์ เพราะตั้งแต่เกิดคดีอดีตพระยันตระที่มีการดำเนินการสอบสวนนิคหกรรมมาจนถึงทุกวันนี้ประมาณ 4-5 ปี ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทั้งที่ขณะนี้อดีตพระยันตระก็กลายเป็น จิ้งเขียวž ไปเรียบร้อยแล้ว

นี่แหละกระบวนการสงฆ์ตามมติมหาเถรสมาคม

กระบวนการที่บอกว่าไม่มีที่สิ้นสุด

นับจาการเกิดกรณีปัญหาวัดพระธรรมกายขึ้นมา หลายฝ่ายต่างก็ให้ความสนใจต่อการปฏิบัติของวัดนี้มากขึ้น ข้อมูลต่างๆจึงพรั่งพรูออกมาแทบไม่ขาดสาย ทั้งจากประชาชนผู้เคยศรัทธาหลงเชื่อ ทั้งจากที่คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ทั้งจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ จากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และจากกระทรวงศึกษาธิการเอง

หลายประเด็นหลายข้อกล่าวหาความผิด ทั้งในเรื่องของการฝ่าฝืนมติมหาเถรสมาคมที่มีมติออกมา 4 ประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องของที่ดินที่ ไชยบูลย์ž ใส่ชื่อตนเองครอบครองแทนที่จะเป็นของวัด มติดังกล่าวระบุชัดเจนว่าให้ดำเนินการโอนเป็นของวัดให้แล้วเสร็จ 20 วันล่วงเลยผ่านไป ไม่มีแม้เจตนาที่จะกระทำตามมติด้วยซ้ำ หากว่าสมเด็จพระสังฆราชไม่ทรงมีลายพระหัตถ์ออกมาชี้ความผิดขั้นต้องปาราชิก เป็นพระปลอมแล้วเชื่อว่าคงไม่มีการดำเนินการดังเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว

และใช่ว่าการดำเนินการจะเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ยังแฝงเล่ห์เพทุบายไว้เป็นนัย การมอบเอกสารสำเนาโฉนดที่ดินจำนวน 1,747 ไร่เศษให้แก่กรมการศาสนาเมื่อวันที่ 8 พ.ค.42 และมามอบโฉนดจริงเพียงแค่ 139 ไร่นั้นแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความพยายามบิดพลิ้วไม่ยอมโอนที่ดินเป็นชื่อวัดพระธรรมกาย กระทั่งกรมการศาสนาซึ่งควรจะเป็นผู้สนองลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชเอง ก็กลับนิ่งเฉยปล่อยให้กาลล่วงเลยไป

ใครมั่งล่ะไม่คิดว่า กรมการศาสนารู้เห็นเป็นใจกับไชยบูลย์ž

รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำในรัฐบาลขณะนี้ด้วย

ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่ไม่มีมูลเหตุมูลฐาน ใช่ ไม่มีมูลหมามันไม่ขี้หรอก ลองมาดูกันว่ามูลเหตุมูลฐานที่เขาว่ากันนั้นน่าเชื่อถือหรือมีความเป็นไปได้สักแค่ไหน

เอาเฉพาะตัวอธิบดีกรมการศาสนาก่อนเขาคือ พิภพ กาญจนะ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิ การ เขาเป็นพี่ชายของ ชุมพล กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดเดียวกันกับคีย์แมนของพรรคที่ชื่อ บัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกง่ายๆว่าอยู่ในสังกัด บัญญัติ ณ สุราษฎร์ ก็ว่าได้

พิภพ เริ่มรับราชการเป็นครูประชาบาล กรมสามัญศึกษาที่ ชัยนาท ต่อมาก็ย้ายมาที่ พิจิตร จนเป็นศึกษานิเทศก์ ครูใหญ่โรงเรียนฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่ และก็เป็น ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน พิจิตร จากนั้นก็ย้ายเรื่อยมาในตำแหน่งเดิมที่ เชียงใหม่ ระยอง สงขลา ลำปาง ก่อนจะย้ายเข้ามาเป็นผู้อำนวยการกองคลัง กรมการศึกษานอกโรงเรียน เป็นผู้อำนวยการกองส่งเสริมปฏิบัติการ

กระทั่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ด้านสื่อการเรียนการสอน กรมการศึกษานอกโรงเรียน

ก่อนย้ายมาเป็นรองอธิบดีกรมการศาสนา ในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วก็ย้ายไปเป็น รองอธิบดีกรมสามัญศึกษา จนกระทั่งได้รับตำแหน่งระดับ 10 เทียบเท่าอธิบดีกรมในตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาของการรับราชการ 90% เขาอยู่ในสังกัดของกรมการศึกษานอกโรงเรียนมาโดยตลอด เรียกว่าเติบใหญ่ได้โตที่กรมนี้โดยเฉพาะ การเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมการศาสนา ก็เพิ่งจะมาเป็นเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมานี้เอง

ตรงกับ พระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิยาลัย พระนักวิชาการที่มีปริญญาเอกทางพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า จากการติดตามที่ผ่านมาเห็นว่าอธิบดีกรมการศาสนาคนนี้มีความพยายามอย่างเต็มที่จะอุ้มนายไชยบูลย์ ทั้งไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนา ถึงเวลาแล้วที่ควรจะลาออกและหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ สนองพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชมาทำหน้าที่แทนจะดีกว่า

ผู้บริหารระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า การย้ายจากผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาฯมานั่งตำ แหน่งอธิบดีกรมการศาสนานั้นไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดแต่อย่างใด เพราะเป็นการย้ายข้ามห้วยอย่างเดียวไม่ได้ก้าวกระโดดหรือได้ปรับระดับ เดิมก็เป็นผู้ตรวจฯระดับ 10 มารับอธิบดีกรมก็ระดับ 10 ดังเดิม ไม่ใช่เรื่องของเส้นสายหรืออิทธิพลพิเศษที่มีน้องชายเป็นนักการเมืองระดับแกนนำของพรรครัฐบาล ที่สำคัญก็คือ สรรหาผู้เหมาะสมที่จะมาดำรงตำแหน่งไม่ได้

คนดีคนมีความรู้ของกระทรวงศึกษานี้สิ้นแล้ว ว่างั้นเถอะ !!

ก็ต้องมาดูกันต่อไปอีกว่า แค่ พิภพ เป็นพี่ชายส.ส.สุราษฎร์จะมีความหมายอะไรมากมายในเรื่องนี้ ซึ่งปมปริศนานี้สามารถไขได้ง่ายยิ่งนักก็คือ ผู้มีจิตศรัทธาแรงกล้าของวัดพระธรรมกายส่วนหนึ่งมีชื่อของ บุญชัย เบญจรงคกุล กับ ประกอบ จีรกิตติ รวมอยู่ด้วย บุญชัย คือนักธุรกิจใหญ่ในวงการสื่อสาร ประกอบ เป็นน้องเขย เคยถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่ทำธุรกิจสื่อสาร แต่ปัจจุบันเป็น ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เขตเดียว กันกับ จักรพันธ์ ยมจินดา-องอาจ คล้ามไพบูลย์ž เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์

ประกอบ ลงสนามการเมืองจากการชักชวนชักจูงของ เทพเทือก จนได้รับการเลือกตั้งทั้งกระแสพรรคส่งน้ำเลี้ยงดีมีชัยสบายๆ ประกอบ ศรัทธาแรงกล้าบริจาคที่ดินที่ลพบุรีกว่า 300 ไร่ เงินอีกไม่รู้เท่าไหร่ คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ทำไมที่ดินที่ประกาศไว้ 1,747 ไร่จึงคืนมาแค่ 139 ไร่ ทั้งๆที่บอกกันจนรูปหูกลวงว่า เจรจากับเจ้าของที่ดินเดิมที่บริจาคให้หมดแล้ว

แถมท้ายว่าการเจรจาเรื่องที่ดินล่าสุดนั้น เขาทำกันบ้านส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ด้วยล่ะ

นี่แหละ ศักยภาพ พิภพ กาญจนะ

ไชยบูลย์ ก็เลยห่มผ้าเหลืองขัดลายพระหัตถ์ได้ต่อไป

ไชโย !!! รัฐบาลลูกชาวบ้าน