"เสฐียรพงษ์"ลุยดงขมิ้น ระบุปัญหาพระปลอม"ไชยบูลย์"ล่าช้าเกิดจากพระเถระสมเด็จวัดสระเกศลงมาปกป้อง ส่วนสมเด็จวัดชนะฯก็พูดไม่ออกได้รับอุปถัมถ์ค้ำจุนมาตลอด "สมเด็จเกี่ยว" พูดแล้วทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอน ถ้าฟ้องนิคหกรรมแล้วไม่ตัดสินค่อยมาว่ากัน ปฏิเสธสินบนเบนซ์ย้ำชัดคนอย่างอาตมาใครก็ซื้อไม่ได้ ขุดหลักฐานอีกโล้นห่มเหลืองใช้มูลนิธิของตัวเองกว้านซื้อที่สุพรรณฯแจ้งราคาต่ำโกงภาษีรัฐ ปาราชิกซ้ำซาก ชาวบ้านเพชรบูรณ์แฉซ้ำอีกไปไล่ซื้อให้ราคา 3 หมื่น แต่แจ้งซื้อ-ขายไม่กี่พัน เปิดข้อกฎหมายฟ้องร้องเพิ่มคดีอาญาได้ตามมาตรา 147 ยักยอกทรัพย์ จำคุก 5-20 ปี ส่วนฟ้องร้องตามกฎนิคหกรรมเหลือแค่ 2 ประเด็นอวดวิเศษกับอมที่ดิน กลิ่นไม่ดีแล้ว"อาคม"ออกมากลืนน้ำลาย โอนที่ดิน"ธัมมชโย"ไม่ได้ขีดเส้นตายไว้ 7 วัน บิ๊กยูคอมผวาธุรกิจกระทบออกหนังสือเปิดผนึกชี้แจง "พระพยอม"ระบุเห็นชัดแล้วพรรคไหนอุ้มมารศาสนา

ขั้นตอนการกระชากผ้าเหลืองออกจากร่างพระปลอม"นายไชยบูลย์ สุทธิผล"ที่ต้องปาราชิกตามที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีลายพระหัตถ์วินิจฉัยแล้วนั้น ได้ปรากฎรูปร่างชัดเจนขึ้นเป็นระยะ ๆ โดย ณ ขณะนี้จะมีการฟ้องร้องทั้งคดีทางโลกและคดีทางธรรม ตามขั้นตอนของกฎของมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรมพ.ศ. 2511 และกฎฉบับที่ 21 ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ

สำหรับการฟ้องคดีทางโลกนั้นมีผู้ประกาศตัวแล้วคือนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ชาวบ้านต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่ให้สภาทนายความเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องให้เนื่องจากนางสาลี่ต้องการบริจาคที่ดินให้วัดพระธรรมกาย 1 ไร่ แต่กลับได้มีการทำหลักฐานให้นางสาลี่ลงนามขายที่ดินให้มูลนิธิธรรมกายแทน จำนวน 2 ไร่ 3 งาน 84.5 ตารางวา ซึ่งราคาซื้อ-ขายกันต้องไร่ละ 2 ล้านบาทขึ้นไปแล้ว แต่กลับไปทำสัญญาซื้อ-ขายเพียง 1.6 แสนบาท โดยที่นางสาลี่ก็ไม่รู้เรื่อง

แฉอีกโกงภาษีที่ดิน

เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ผู้สื่อข่าว"เดลินิวส์"ประจำจ.สุพรรณบุรี รายงานว่าครอบครัวนายเมืองนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ที่ได้ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมการฉ้อโกงของนายไชยบูลย์ ได้มีการโทรศัพท์มาให้กำลังใจครอบครัวเพ็ชร์ชูดีอย่างมาก และขอให้ต่อสู้เพื่อกระชากผ้าเหลืองพระปลอมออกมา

นายประเสริฐ วรรณศิริ บุตรเขยนางสาลี่ -นายเมือง ที่ได้รับมอบอำนาจให้จัดการเรื่องนี้กล่าวว่าก่อนหน้าที่วัดจะมาเอาที่ดินของนางสาลี่ ก็มีการไปซื้อที่ดินของนางย้อม โกมล ซึ่งเป็นที่ตาบอดอยู่หลังที่ดินของนางสาลี่ไปก่อนในวงเงิน 2 ล้านบาท และซื้อที่ดินนางถนอม ศรีทองสุข 3 ไร่เท่าที่สอบถามได้เงินไป 3 ล้านบาท,นางองุ่น ทองอ่อน 3 งานได้เงินไป 2 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังมีที่ดินของนายจุ้น สุขเจริญ หลานหลวงพ่อสด จันทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายและเป็นคนสองพี่น้องด้วย ก็มีปัญหาโดยนายจุ้นได้ตั้งใจบริจาคที่ดินสร้างอนุสรณ์สถานให้หลวงพ่อสด แต่ต่อมาก็รู้ความจริงว่าที่ดินถูกโอนให้มูลนิธิธรรมกายไป ทางวัดจึงได้เอาเงินมาให้นายจุ้นเป็นการตอบแทน

ผู้สื่อข่าวยังไปตรวจสอบสัญญาซื้อ-ขายที่ดินที่มูลนิธิธรรมกาย ของนายไชยบูลย์ทำขึ้นด้วย โดยปรากฎว่า ที่ดินที่ซื้อไป ได้มีการแจ้งตัวเลขเท็จในการซื้อขายเพื่อเลี่ยงภาษีทั้งสิ้น อาทิที่ดินของนางย้อมผู้นำบุญของวัด ที่ระบุว่าขายที่ดินได้เงิน 2 ล้านบาท ปรากฎว่าจากหลักฐานที่สำนักงานที่ดินอำเภอสองพี่น้อง กลับลงว่าซื้อ-ขายกันแค่ 7 แสนบาท ทำให้เสียภาษีและค่าธรรมเนียมที่ดินต่ำเกินจริง โดยใช้ราคาประเมินเป็นเกณฑ์

ส่วนที่ดินแปลงอื่นก็แจ้งเท็จเช่นกัน อาทิ โฉนดที่ 995 จากนางถนอม ศรีทองสุข 3 ไร่ ระบุในสัญญาซื้อ-ขายค่ 1 ล้านบาท แต่นางถนอมยืนยันว่าขายได้ไร่ละ 1 ล้าน เป็นเงิน 3 ล้านบาท โฉนดเลขที่ 20378 จากนางองุ่น ทองอ่อน จำนวน 277 ตารางวา แจ้งที่ดินว่าซื้อ-ขายเพียง 2 หมื่นบาท แต่ที่นางองุ่นบอกก็คือซื้อ-ขายกัน 2 ล้านบาท

ผู้นำบุญธรรมกายโต้

ส่วนนางย้อย โกมล อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/6 ถ.ราษฎร์อุทิศ ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ผู้นำบุญเขตอ.สองพี่น้องของวัดพระธรรมกายออกมาตอบโต้ กรณีนางสาลี่ว่าตนเองไม่น่าชวนนางสาลี่เข้าวัดเลย และรู้เรื่องดีตลอด รวมถึงปัญหาที่ดินที่นายจุ้น สุขเจริญ หลานหลวงพ่อสด บริจาคให้วัด แต่กลับไปโอนซื้อ-ขายให้มูลนิธิธรรมกาย จนสุดท้ายวัดต้องจ่ายเงินคืนให้นายจุ้นเพื่อตัดปัญหา

"วัดธรรมกายไม่อยากมีเรื่องเพราะเป็นลูกหลานหลวงพ่อสด ซึ่งอยากได้เงินได้ทองมากกว่าได้บุญ ก่อนหน้านี้เคยมีการเตือนแล้วให้ระวังลูกหลานหลวงพ่อสดให้ดี"

นางย้อยกล่าวด้วยว่าตนมีที่ดิน 7 ไร่ 2 งาน ซึ่งขายให้กับมูลินิธิ 4 ไร่ และมอบให้วัดฟรี ๆ อีก 1 ไร่ รวม 5 ไร่ 2 งาน ได้เงินทั้งหมดมา 2 ล้านบาท จริงและเหลือที่ดินอีก 2 ไร่ นายวทีชัย งามชัยสุวรรณ หัวหน้าสาขาวัดธรรมกายจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ติตด่อขอซื้อที่ให้กับวัด โดยตกลงจะหาที่แปลงอื่นมาแลกกัน และจะเป็นพยานเรื่องที่ดินที่สุพรรณบุรีให้วัด ที่เพชรบูรณ์ก็โกง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ดินอีกจังหวัดที่นายไชยบูลย์เข้าไปซื้อโดยใช้ชื่อตัวเองอาทิที่ดินที่อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ จำนวน 789 ไร่ 1 งาน 32 ตารางวา ผู้สือข่าว"เดลินิวส์"เดินทงไปยังพื้นที่และพบนายคำแพง นีระพันธุ์ อายุ 48 ปี เป็นผู้ใหญ่บ้านเขาบ่อทอง หมู่ 10 ต.ท่าข้าม โดยนายคำแพงกล่าวว่าทางวัดได้มากว้านซื้อที่ดินไปจริง ไม่มีใครบริจาคให้ โดยให้ราคาสูงถึงไร่ละเกอืบ 30,000 บาท ในช่วงปี 2535 ทั้งที่ราคาซื้อ-ขายขณะนั้นอยู่ที่ไร่ละ 6,000-7,000 บาท แต่มีข้อแม้ต้องขายเป็นที่ผืนเดียวกันตลอดไป ทำให้ตนและลูกบ้านประมาณ 15 คนรวมตัวกันขาย ตั้งแต่น้อยสุด 6 ไร่ไปถึง 120 ไร่ ได้ที่ดินประมาณ 700 ไร่ แม้ชาวบ้านพอจะรู้ว่ามีทองคำอยู่ในบริเวณนี้ มีการขุดพบก็เฉย ๆ

ที่ดินที่จ.เพชรบูรณ์ทั้งหมดใส่ชื่อนายไชยบูลย์เป็นผู้ซื้ออย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังมีการแจ้งตัวเลขซื้อ-ขายเป็นเท็จกับทางที่ดินอำเภอด้วย อย่างเช่นของนายคำแพง โฉนดเลขที่ 13959 จำนวน 33 ไร่เศษ แจ้งราคาซื้อ-ขายแค่ 279,990 บาทหรือเฉลี่ยไร่ละ 8,484 บาท ทั้งที่ซื้อ-ขายจริงราคา 30,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีการโอนที่ดิน และเป็นการโกงราชการเช่นเคย

ด้านความคืบหน้าเรื่องการฟ้องร้องให้ถอดเผ้าเหลืองนายไชยบูลย์ตามกฏนิคหกรรม ล่าสุดนายสมพร เทพสิทธาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานฯรวบรวมเอกสารและข้อมูลทั้งหมด ที่คณะกรรมการศาสนารวบรวมไว้ โดยจะแยกประเด็นออกมาเป็นเรื่องของการอวดอุตริมนุษธรรม และการฉ้อโกงที่ดินของทางวัด ซึ่งจะนำรายชื่อผู้ที่ถูกโกงที่ดินซึ่งมาฟ้องกับทางสภาทนายความมาผนวกด้วย คาดว่าในวันจันทร์นี้คงสมบูรณ์

"หากเป็นไปตามที่กำหนดไว้ จะนำไปยื่นต่อกรมการศาสนาในวันที่ 17 พ.ค. แน่นอน และจะเสนอเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีดำเนินการตามกฏมหาเถรสมาคมฉบับที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการ หากเจ้าคณะไม่รับคำฟ้องคงทำไม่ได้ เพราะในระเบียบมีไว้ชัด ถ้าไม่ฟ้องก็ถือว่าผิดกฏหมายเหมือนกัน เมื่อมีการรับฟ้องเจ้าคณะก็จะตั้งกรรมการสอบสวน และเรียกโจทก์คือผู้เสียหายเรื่องที่ดินไปสอบต่อเอง"

"ยูคอม"ผวาเข้าหาพระพยอม

ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจที่เจ้าของหรือผู้บริหารมีชื่อเข้าไปเป็นผู้บริจาคเงินให้วัดพระธรรมกาย ก็เริ่มมีปัญหาแล้ว โดยนายจาตุรนต์ หิมะทองคำ ผู้อำนายการฝ่ายการตลาดฝ่ายเวิล์ดโฟน 1800 บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซสคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือแทค ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล 1800 กล่าวว่า ตัวแทนของบริษัทได้เข้านมัสการพระพยอม กัลยาโน และได้กราบเรียนให้ทราบถึงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการนำเงินบริจาคของ นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูคอม ให้กับวัดธรรมกาย ว่าเป็นเงินส่วนตัว ยูคอมไม่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญบริษัทแทค และยูคอมเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่มาที่ไปของการใช้เงินอย่างชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ การนำเงินไปใช้ในโครงการตอบแทนสังคม ที่ทำมาตลอดมีการแสดงบัญชีอย่างชัดเจน

"บุญชัย"แจงเงินบุญ

ส่วนนายบุญชัย ทำจดหมายเปิดผนึก "กรณีการทำบุญกับวัดพระธรรมกาย" เพื่อเผยแพร่ด้วย โดยระบุว่าตนเพิ่งปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมาไม่นาน ยังขาดภูมิปัญญาที่จะอรรถาธิบายหลักธรรมจึงขอหลีกเลี่ยง ที่จะเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างนี้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง จากความไม่สบายใจต่อข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์ตนและธุรกิจจึงขอชี้แจงเรื่องต่าง ๆ

นายบุญชัยกล่าวว่าตนเป็นพุทธศาสนิกชน ได้ทำบุญในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ผ่านวัดในพระพุทธศาสนาต่าง ๆมากมายตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา ไม่ใช่เฉพาะแค่กับวัดพระธรรมกาย และใช้ทรัพย์สินส่วนตัวและครอบครัว ไม่ใช่ของธุรกิจ ผิดถูกประการใดในส่วนนี้ตนและครอบครัวย่อมต้องรับผิดชอบเต็มเปี่ยม ไม่เป็นธรรมแน่นอนหากจะกล่าวหาวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ ต่อกิจการธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่

นอกจากนั้นในการเข้าร่วมปฎิบัติธรรมและบริจาคทาน ไม่ว่ากับวัดไหนนั้น กระทำลงไปด้วยศรัทธาในพุทธศาสนา หวังสืบทอดพุทธศาสนาให้มีอายุยืนยาวต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาในเชิงเนื้อหาคือหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เพราะศรัทธาในเจ้าอาวาสหรือพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น

สำหรับการร่วมปฏิบัติธรรมและบริจาคทานกับวัดพระธรรมกาย ก็เพราะเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจในแนวทาง วิธีการเผยแพร่หลักธรรมของคณะสงฆ์และคณะศิษย์วัดพระธรรมกาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งผ่านการศึกษาทางโลกมาค่อนข้างสูง น่าจะยังผลให้พุทธศาสนามีพัฒนาก้าวกระโดด เพื่อที่จะเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งดับความร้อนรุ่มในกิเลส ตัณหา ของพลโลกยุคปัจจุบันและอนาคตลงได้บ้าง

"ผมปฏิบัติธรรมน้อยเกินกว่าที่จะมีภูมิปัญญาตัดสินพิสูจน์ได้ว่า การเผยแพร่หลักธรรมของพระสงฆ์สาวกพุทธศาสนารูปใด ผิดไปจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ และโดยข้อเท็จจริงแล้ว ข้อกล่าวหาว่าคณะสงฆ์วัดพระธรรมกายเผยแพร่หลักธรรมผิดเพี้ยน ก็เพิ่งเกิดขึ้นเป็นกระแสในสังคมไทยเพียงชั่วระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง หลังจากที่ผมเข้าร่วมปฏิบัติธรรมและบริจาคทานกับวัดพระธรรมกายมาหลายปี"

นายบุญชัยกล่าวอีกว่าตนมีความเห็นโดยสุจริตว่าการวิพากษ์วิจารณ์กรณีวัดพระธรรมกาย ควรดำเนินต่อไป หากแต่ควรจำแนกแยกแยะ ระหว่างคนที่ทำบุญกับวัดพระธรรมกายออกจากกัน หากปรากฎผลที่สุดตามกระบวนการและครรลองว่าวัดพระธรรมกาย หรือวัดอื่นใดผิดก็ต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูก ไม่ใช่การเหมารวมว่าพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติธรรมและบริจาคทาน กับวัดพระธรรมกายหรือวัดอื่นใดผิดไปด้วย และเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้รู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศ.นพ.ประเวศ วะสี ในประเด็นการปฏิรูปพุทธศาสนา

กลืนน้ำลายโอนที่ไม่ใช่7วัน

ทางด้านนายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า ขณะนี้การโอนที่ดินมาเป็นของวัดยังไม่สามารถดำเนินการได้ครบ เพราะมีการอ้างว่าต้องให้ผู้บริจาคลงนามยินยอมก่อน ซึ่งกรมการการศาสนาพยายามเร่งแล้ว อาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 เดือน เรื่องนี้ไม่เคยกำหนดต้องโอนให้เสร็จใน 7 วัน โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนกรมการศาสนารายงานครม.ว่าต้องใช้วเลาประมาณ 3 เดือน แต่ครม.เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เวลาขนาดนั้น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รมว.มหาดไทย มอบอำนาจไปทางอธิบดีกรมที่ดินแล้ว ขั้นตอนสามารถลัดได้ และมั่นใจว่าจะมีการโอนที่ดินไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดสัญญา ส่วนเรื่องการฟ้องรอ้งตามกฎนิคหกรรมเมื่อครบ 10 วัน จะให้กรมการศาสนาเป็นเจ้าของเรื่องยื่นฟ้องต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี หากประชาชนจะนำข้อมูลมาเพิ่มให้อีก ต้องรอให้ฝ่ายสงฆ์พิจารณาก่อน ถ้าเพิ่มเติมก็สามารถทำได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอาคมเคยให้สัมภาษณ์ด้วยตนเองเมื่อวันอังคารที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมาโดยระบุว่าจะโอนที่ดินให้เสร็จใน 7 วัน แต่ขณะนี้ได้มีการกลับคำพูดแล้ว

นายปรีชา สุวรรณทัต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายไชยบูลย์ ว่า มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเด็นการฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งกรณีทางโลกผู้ที่เสียหายโดยตรงถึงจะฟ้องร้องต่อศาลได้ ส่วนที่มีข่าวพาดพิงนายสมพร เทพสิทธา แกนนำพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย จะดำเนินการฟ้องร้องไม่ได้นั้นเป็นการกล่าวถึงการฟ้องร้องทางโลก แต่การฟ้องร้องทางธรรม นายสมพรทำได้อาทิยื่นฟ้องในเรื่องของการอวดอุตริมนุสธรรม

"ไม่ใช่เฉพาะนายสมพร พุทธบริษัททุกคนสามารถกระทำการได้ ซึ่งการยื่นฟ้องปาราชิกให้การขาดจากความเป็นพระ การวินิจฉัยก็ต้องนำไปเข้ากฏนิคหกรรม แต่ในความเห็นส่วนตัวผมขอยึดลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระบัญชา กล่าวคือพระธัมมชโยได้ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว การนำเรื่องฟ้องปาราชิกก็จะเท่ากับว่าเรายังยอมรับความเป็๋นพระของนายไชยบูลย์ จะขาดหรือไม่ขาดจากความเป็นพระจึงขึ้นอยู่ที่คำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคม เท่ากับว่าเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ "

"เสฐียรพงษ์" เฝ้าสังฆราช

สำหรับบรรยากาศที่วัดบวรนิเวศฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาลงนามถวายพระพรต่อสมเด็จพระสังฆราชฯตามปกติ แต่ยังไม่ได้เข้าเฝ้า ต่อมาเวลา 09.00 น. น.พ.สงคราม ทรัพย์เจริญ แพทย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เดินทางมาถวาย การตรวจพระอาการ พร้อมกับกล่าวว่า ขณะนี้พระอาการ ทรงเป็นปกติดีแล้ว แต่อยากให้ท่านได้พักผ่อนมากๆ เนื่องจากพระวรกายยังอ่อนเพลีย แต่ได้ลดการให้พระโอสถลง อีกทั้งยังให้งดศาสนกิจอื่นๆต่อไป ส่วนงานสดับพระปาติโมกข์นั้นทางแพทย์อนุญาต เพราะถือเป็นกิจสงฆ์ที่สำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชฯทรงลงมาสดับเดือนละสองครั้ง

ต่อมาในเวลา 13.30 น. นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชที่รถพระเทียบ ระหว่างที่ทรงเสด็จไปที่พระอุโบสถเพื่อสดับพระปาติโมกข์ นายเสฐียรพงษ์ได้เข้ากราบพระบาท และสมเด็จพระสังฆราชฯทรงตรัสว่า "ขออำนวยพร"

จากนั้นนายเสฐียรพงษ์ ได้เข้าพบ ม.ล.จิติ นพวงศ์ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังฆราชฯ ใช้เวลาหารือประมาณครึ่งชั่วโมง นายเสฐียรพงษ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า เดินทางมาสอบถามพระอาการและเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชฯ เท่านั้นไม่ได้ถวายคำแนะนำแต่อย่างใด เพราะตั้งแต่ทรงพระประชวรก็ไม่ได้มาเข้าเฝ้า ม.ล.จิตติกล่าวว่านายเสฐียรพงษ์มาหารือเกี่ยวกับเรื่องที่ห่วงใยในพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องที่มีใบปลิวโจมตีลบหลู่สมเด็จพระสังฆราชฯและสถาบันชั้นสูง ว่าจะทำอย่างไรดีต่อปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เพราะว่าผู้ที่ควรจะกระโดดมาช่วยทันทีกลับนิ่งเฉย ตนจึงบอกไปว่า การดำเนินการกับวัดพระธรรมกายต้องใช้เวลา และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไม่มีบารมีใดที่จะทัดเทียมกับบารมีของศาสนาได้

นอกจากนี้นายเสฐียรพงษ์ ยังได้มอบหนังสือชื่อว่า "บทเรียนชาวพุทธจากธรรมกาย" ฝากถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชฯด้วย

ระบุพระเถระอุ้มไชยบูลย์

อย่างไรก็ตามนายเสฐียรพงษ์ กล่าวภายหลังงว่าตามปกติก้ไม่เคยเข้าเฝ้า ก็เพียงแต่กราบไหว้อยู่ห่าง ๆ บังเอิญโชคดี วันนี้เป็นวันพระอุโบสถ เห็นรถพระเทียบของสมเด็จพระสังฆราชที่รับสมเด็จฯจากตำหนักไปยังพระอุโบสถ และเห็นผู้สื่อข่าวเต็มไปหมด ก็เลยถามว่ามาทำไมกัน ได้ความว่า วันนี้สมเด็จพระสังฆราชจะลงสวดปาฏิโมกข์ จึงได้เข้าไปกราบพระบาทท่านด้วยความตื้นตันใจ และก็ไมไ่ด้พูดอะไรเลยสักคำเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปเข้าเฝ้า แต่ท่านตรัสว่า "ขออำนวยพร" ทำให้เกิดปิติไม่ได้รับคำท่าน

"ขณะนี้พระเถระทั้งหลายของมหาเถรฯ ไม่เห็นด้วยกับสมเด็จพระสังฆราช ปกป้องไชยบูลย์กันอยู่ พระก็แปลก หากว่าพระผู้ใหญ่ไม่เอา พระลูกน้องก็ไม่กล้าหือ เกรงใจกัน อย่างสมเด็จวัดชนะฯก็เกรงใจสมเด็จวัดสระเกศ ความจริงอำนาจอยู่ที่พระพรหมโมลี แต่ท่านก็เป็นอย่างนั้นของท่าน ก็ยกให้วัดชนะฯ ซึ่งเป็นเจ้าคณะหนผู้ดูแล มีอำนาจสูงสุด แต่ก็รู้กันอยู่ว่า วัดชนะเกรงใจวัดสระเกศเนื่องจากอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมา แล้วมูลนิธิวัดพระธรรมกายก็อยู่ที่วัดสระเกศก็เกรงใจกันอยู่นั่นแหละ ที่เป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือ ท่านไม่ห่วงพระศาสนากันบ้างเลย ห่วงแต่ตัวท่านเอง มีอำนาจในการทำอะไรได้ก้ไม่ทำ"

นายเสฐียรพงษ์ยังกล่าวเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง สืบหาหลักฐานต้นตอของใบปลิวที่ล่าสุดจาบจ้วงถึงสถาบันชั้นสูง โดยระบุว่าเลวร้ายมาก ไม่น่าเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นใครทำก็ตาม ต้องระงับไม่ให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ควรมีมนุษย์ประเภทนี้

ฟ้องอาญาเพิ่มได้อีกกระทง

นายปลื้ม โชติษชยางกูร อดีตอาจารย์สอนวิชา พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ฯ อดีตหัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลฎีกา และ พระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ได้ร่วมเป็นวิทยากรรายการ "ธรรมะร่วมสมัย" ออกอากาศในวันที่ 15 พ.ค.ทางคลื่นเอฟเอ็ม 100.5 สำนักข่าวไทย

นายปลื้มกล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ ในฐานะประมุขของพุทธศาสนามีพระราชดำริออกมาให้ขาดจากความเป็นพระ หากประมุขเบื้องสูงมีดำริออกมา ต้องคิดว่าดำริของพระองค์เป็นบัญชาหรือไม่ ซึ่งตามมาตรา 8 พ.ร.บ.สงฆ์นั้นตนว่าไม่ใช่ เพราะอำนาจของพระบัญชาประมุขจะใช้ในเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นกิจของสงฆ์ แต่ไม่ใช่เพื่อบัญชาลงโทษใคร มหาเรถฯจึงไม่นำเอาบัญชานี้มาสั่งสึกพระวัดธรรมกาย

เรื่องของที่ดินนั้นเป็นอาบัตติปาจิตตีย์ซื้อที่ดินที่ใดก็เป็นอาบัติที่นั่น ก่อนมีพระราชดำริ ไม่ปรากฎหลักฐานที่จะแสดงต่อสาธารณชน ตนเคยพูดเรื่องนี้กับพระผู้ใหญ่ซึ่งรับว่าจะชำระให้ ว่าพระไชยบูลย์เป็นสังฆาธิการถูกหรือผิดอย่างไร ก็ควรจะถอดถอนออกจากตำแหน่งก่อนแล้วมาสอบสวนกัน ถ้าหากไม่ผิดก็กลับเข้ามาว่ากันเรื่องนิคหกรรม อธิกรณ์ แต่พระผู้ใหญ่ไม่ได้ทำตามที่ตนเสนอไป

"เหมือนกับกรณีข้าราชการประจำ ต้องให้ย้ายออกจากตำแหน่งเสียก่อน แล้วจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวน อย่างน้อยให้ออกจากเจ้าอาวาสเสียก่อนแล้วให้ตั้งพระเถระผู้ใหญ่ไปรักษาการแทน หรือให้พระในวัดพระธรรมกายที่มีอายุ 5 พรรษา แต่ต้องเป็นรูปที่ไม่สอนนิพพานเป็นอัตตา เป็นต้นธรรมต้นธาตุ รักษาการแทน"

ต่อข้อถามที่ว่า หากจะนำกฎข้ออื่นที่ใช้แทนกฎนิคหกรรม หรือการใช้กฎหมายอาญาร่วมไปด้วยจะได้หรือไม่ นายปลื้มตอบว่า สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งกฎหมายอาญาและกฎนิคหกรรม เพราะจ้าอาวาสถือเป็นพนักงานตามพ.ร.บ.สงฆ์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งปกครองสงฆ์ หากพนักงานผู้นั้นทำทุจริตมีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ในเรื่องของการรักษาสมบัติของวัด แต่กลับไปเบียดบังผลประโยชน์เป็นของตัวเอง เป็นการกระทำทุจริต มีระวางโทษจำคุก 5-20 ปี ระวังพระธรรมกายพกปืน

นอกจากนั้นในรายการธรรมะร่วมสมัยได้เปิดเผยข้อมูลความไม่ชอบมาพากลของวัดฉาวด้วย โดยได้มีคนที่เคยไปบวชเป็นสามเณรแก้วที่วัดให้ข้อมูลว่า ในช่วงที่ไปบวชเมื่อปี 2541 ที่ผ่านมา ได้พบพฤติกรรมของพระแกนนำในวัด ที่เป็นผู้ควบคุมดูแลสามเณรแก้ว โดยครั้งหนึ่งพระที่ดูแลสามเณรแก้วได้ฝากย่ามให้ดูแล และบังเอิญที่ได้มีการล้วงเข้าไปในย่ามก็พบปืน .38 อยู่ในย่ามด้วย ซึ่งสร้างความประหลาดใจและสงสัยอย่างมาก เนื่องจากทำไมพระถึงต้องพกปืน เรื่องนี้มีบุคคลที่พบเห็นสามารถมาพยานยืนยันได้

ส่วนศูนย์เฉพาะกิจกรณีธัมมชโยของคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัมนา(สพพ.) นอกจากจะเคลื่อนไหวโดยการจุดตะเกียงเจ้าพายุไปหาสมเด็จพุฒาจารย์ วัดสระเกศ(เกี่ยว อุปเสโณ) แล้ว ได้มีข้อสเนอให้ชาวพุทธจัดชุมนุมใหญ่ในวันวิสาขบูชาที่ 29 พ.ค. เพื่อแสดงเจตนารมณ์และประชามติกำจัดอลัชชีและลัทธิเดียร์ถีย์ในศาสนาพุทธ นอกจากนั้นจากการล่าลายชื่อชาวพุทธ จนถึงในวันที่ 15 พ.ค.นี้ เริ่มมีการส่งคำประกาศฯทางไปรษณีย์ถึงศูนย์เฉพาะกิจฯแล้วจาก49 จังหวัด รวมแล้วมีผู้ร่วมลงชื่อจำนวน 4,379 คน ในจำนวนนี้มีพระภิกษุจำนวน 81 รูปจากจ.แแพร่และจ.สงขลาร่วมลงชื่อไม่ยอมรับควาเมป็นพระของธัมมชโยด้วย

ข้อเสนอเพิ่มเติมจากประชาชนหลายจังหวัดต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จับธัมมชโยสึกจากความเป็นพระอย่างรวดเร็ว จำนวน 132 คน ให้ระงับกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมวินัยของวัดธรรมกายจำนวน 368 คน ปลดกรรมการมหาเถรสมาคมออกจากตำแหน่งไว้ก่อน จำนวน 85 คน และไม่ยอมรับควาเมป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมกายของธัมมชดยจำนวน 63 คนและหนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อคำประกาศไม่ยอมรับความเป็นพระของธัมมชโยนั้น คือ นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร รวมอยู่ด้วย

"สมเด็จเกี่ยว"เปิดใจ

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่อุโบสถวัดสระเกศราชวรวิหาร สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กรรมการมหาเถรสมาคม ที่มีอาวุโสสูงสูดสายมหานิกาย เดินทางไปเป็นพระอุปัชฌาย์ในการอุปสมบทให้พระในวัด ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ สมเด็จพุฒาจารย์ กล่าวกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกถึงกรณีข่าวการรับสินบนที่วัดพระธรรมกายมีให้พระเถระว่า อาตมาเป็นพระผู้ใหญ่ เห็นใจสื่อมวลชนที่ได้ข่าวมาอย่างไรก็ลงไปตามนั้น ไม่ได้ถือสา เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่มีคนออกมากล่าวหา

"โดยเฉพาะเรื่องของการรับสินบนนั้น อาตมาอยากให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสใช้เวลาในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนี้จะดีกว่า วันหนึ่งทุกคนคงจะเข้าใจและได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร อาตมาบอกได้เลยว่าเรื่องข้อกล่าวหาต่างๆนั้นไม่เป็นอะไรหรอก ใครจะกล่าวหาอย่างไรก็ไม่ว่า เพราะเมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบแล้วอาตมาจะชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้ง ตอนนี้ก็พูดกันไปว่ากันไป ใครได้ข่าวมาก็ลงกันไป แม้จะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงบ้าง แต่เราเป็นพระจะทำอย่างไรได้ ขอยืนยันว่าคนอย่างอาตมานั้นนะ ไม่มีหรอกที่ใครจะมาให้สินบน และไม่เคยคิดจะปกป้องใครเพราะไม่รู้จะปกป้องไปทำไม"

สมเด็จพุฒาจารย์กล่าวอีกว่าขอให้ทุกคนเข้าใจในข้อเท็จจริงด้วยว่า มหาเถรฯเป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฏตามระเบียบ ตลอดจนแบบแผนที่มีวางไว้ ขอให้ลองพิจารณาถึงข้อเท็จจริงว่า มหาเถรฯจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ นอกจากต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ ใครจะว่าอะไรก็เป็นสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่ผิดหรอก แต่ในฐานะที่เป็นมหาเถรฯ กฏต้องเป็นกฏ นอกเหนือจากนี้ทำไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีกระบวนการที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาตามกฏระเบียบของคณะสงฆ์แบบนี้ถือว่า ตรงตามระเบียบที่มหาเถรฯวางไว้หรือไม่ สมเด็จพุฒาจารย์กล่าวย้ำว่า ใช่ ระเบียบแบบแผนมีไว้อย่างไรต้องปฏิบัติทุกเรื่อง ถ้าเข้าสู่กฏระเบียบ ถ้าถึงวันนั้นถ้ามหาเถรฯไม่ทำอะไรก็มาว่ากันก็ได้

ด้านพระเทพโสภณ เจ้าคณะ 12 ในฐานะเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดสระเกศ กล่าวเสริมในเรื่องนี้ว่า การที่ความคิดเห็นของคนที่มองเรื่องวัดพระธรรมกายนั้น แตกต่างกันเพราะมุมกันคนละมุม อาตมาอยากถามว่าสื่อมวลชนจะเอาความถูกต้องตามกฏระเบียบหรือว่า จะเอาความถูกใจเป็นที่ตั้ง เพราริ่มไปตัดสินเองว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้นสึกไปแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการเข้าสู่กระบวนการตามกฏมหาเถรสมาคม

"ถ้าหากว่ามีการนำเข้าสู่กระบวนการมหาเถรฯแล้ว ถ้ามหาเถรฯไม่จัดการถึงตอนนั้น จะมาว่ามหาเถรฯก็ได้ แต่อยู่ๆจะมาบอกว่าปลดมหาเถรฯนั้น อาตมาบอกตรงๆพูดแบบนั้นมันเลอะเทอะ แต่ถ้าบอกว่ากฏระเบียบที่ใช้อยู่มันชราภาพอย่างนี้ซิค่อยน่าฟัง เพราะเราอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน แม้มีกฏระเบียบออกมาแล้วเราไม่ชอบใจแต่ก็ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สงฆ์ก็เหมือนกันออกมาใช้ตั้งแต่ 2535 จะให้ทุกคนชอบไม่ได้เหมือนกัน แต่เราต้องปฏิบัติแบบนี้ อาตมาเห็นด้วยที่จะให้เข้าสู่กระบวนการกฏนิคหกรรมหรือกฏปกครองแน่นอน" ตามหาแก่นธรรมไล่พระเถระ

ในวันที่ 16 พ.ค.นี้ จะมีการแพร่ภาพรายการ "ตามหา..แก่นธรรม" โดยมีวิทยากรเข้าร่วมแสดงมุมมองอาทิ พระดุษฎี เมธังกูโร พระลูกศิษย์ท่านพุทธทาส กำนันทรง องค์ชัยวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา หรือเจ้าของท่าข้าวกำนันทรง และรศ.บุญเรือน อินทวรันต์ นายกยุวพุทธกะสมาคม นครสรรค์ และเจ้าของรางวัลเสมาทองคำ มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสุเมธ โสฬส ผู้ดำเนินรายการ

กระทู้แรกของรายการนี้เป็นคำถามถึงกรณีพระปาราชิกกับคนฆ่าคนตายใครจะมีความผิดมากกว่ากัน ซึ่งวิทยากรที่เข้าร่วมรายการต่างมีมุมมองคล้ายกันว่า หากเป็นการปาราชิกด้วยเหตุพระฆ่าคนตายพระจะผิดถึง 2 กรรม คือนอกจากจะต้องปาราชิกแล้วยังมีความผิดโทษบานฆ่าผู้อื่นตายด้วย หากพระรูปที่ต้องปาราชิกด้วยเหตุอื่นไม่ใช่การฆ่าคนตาย ก็ต้องแยกประเด็นกฏหมายกับพระธรรมวินัย ดังนั้นจึงต้องมองว่าพระมีคนกราบไหว้นับถือ แต่ต้องปาราชิกถือว่ามีความผิดร้ายแรงกว่าคนฆ่าคนตาย เพราะคนที่ฆ่าคนตายนั้นเป็นเรื่องของตัวบุคคล จึงมองได้ว่าการที่พระต้องปาราชิกเป็นเพราะเอาคนมาทำเป็นพระ แน่นอนว่าต้องอดไม่ได้ที่จะต้องประพฤติผิด ส่วนการไม่ยอมปาราชิกเป็นคนมันยังดื้อรั้นอยู่เท่านั้นเอง

จากนั้นเป็นกระทู้ถามตรงกรณีนายไชยบูลย์ ด้วยเรื่องความสับสนในมติมหาเถรฯที่ออกมาเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการตีความออกมาเป็นสองนัย โดยนัยของกรมศาสนาระบุว่านายไชยบูลย์ยังมิได้ต้องปาราชิก คณะสงฆ์มีมติให้ใช้กฏนิคหกรรม จึงต้องรอการสอบสวน ขณะเดียวกันทางสภาทนายความกับมองว่ามหาเถรฯมีมติให้ยอมปฏิบัติตามลายพระหัตถ์ โดยให้ดำเนินการปาราชิกไม่ต้องใช้กฏนิคหกรรม

ยุคเสื่อมวงการสงฆ์

เรื่องดังกล่าววิทยากรกล่าวว่าเป็นปัญหาที่ชาวพุทธต้องตัดสินใจ หากพุทธบริษัทเห็นด้วยกับสมเด็จพระสังฆราช ก็ย่อมมีผลเป็นปาราชิกตามลายพระหัตถ์ ซึ่งเป็นการผิดพระธรรมวินัย ส่วนกรณีที่ทำผิดทางกฏหมายโลกทางฝ่ายบ้านเมืองก็ต้องเข้ามาจัดการ บางส่วนไม่เห็นด้วยก็ต้องไปเข้ากฏนิคหกรรม แต่ไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหนก็ต้องจบแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตามหากเป็นไปได้อยากให้พระสังฆราช ออกพระบัญชามาจัดการให้เรียบร้อยในช่วงสมัยพระองค์ เพราะไม่แน่ใจว่าต่อจากท่านแล้วจะมีความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกันหรือไม่

นอกจากนั้นการที่คณะสงฆ์ไม่วินิจฉัยตามสมเด็จพระสังฆราช ไม่ได้หมายความไม่เห็นด้วยกับพระองค์ แต่เป็นการตีฝีปากเพื่อยึดอายุนายไชยบูลย์ออกไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะก่อให้เกิดผลดีเลย จะมีปัญหาติดตามมามากมาย อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สุจริต จนสงสัยกันว่าคณะสงฆ์นั่งทับอะไรอยู่ ขอให้มั่นใจได้เลยว่าเวลานี้ถึงไม่มีมหาเถรฯ ก้ยังอยู่ได้และเผยแผ่ศาสนาให้กว้างใหญ่ได้ สรุปว่าต้องเลือกเอาระหว่างสมเด็จพระสังฆราช หรือจะเลือกฝ่ายมหาเถรฯ

ที่ผ่านมาไม่เคยมียุคใดสมัยใดเลยที่คณะสงฆ์ถูกย่ำยี ถูกรังเกียจมากขนาดนี้ สื่อมวลชนก็ช่วยกันขุดคุ้ยจนเหม็นไปหมดแล้ว หลายคนบอกว่าโชคดีที่ไม่รู้จักสมเด็จองค์ไหนเลย เพราะจะได้ไม่ต้องกราบไหว

สำหรับหนังสือแสดงเจตจำนงของอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีบางตอนบางประโยคมีเว้นวรรคไว้สำหรับแต่เติมภายหลัง อาทิอาจเติมว่าและ/หรือ มูลนิธิวัดพระธรรมกาย ถ้าจะเปิดช่องให้มีการโอนที่ดินไปเป็นของมูลนิธิ เห็นชัดว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก เพราะมูลนิธิมีฆราวาสมามีอำนาจในมูลนิธิได้ จึงสมควรโอนที่ดินเป็นของวัดให้หมด หากมีโอกาสได้กราบทูลสมเด็จพระสังฆราช จะกราบทูลให้ทรงทราบว่า พุทธบริษัทจะไม่ปล่อยให้สมเด็จพระสังฆราชต้องว้าเหว่เพียงลำพัง ฉะนั้นชาวพุทธควรแสดงออกให้ปรากฏชัดเจนว่าสนับสนุนลายพระหัตถ์ของพระองค์

หลังจากจบกระทู้ที่สองนี้ทางผู้ดำเนินรายการได้ขอให้แสดงมติว่าจะยืนอยู่ฝ่ายไหน ปรากฏว่าประชาชนที่เข้ารวมบันทึกรายการ ต่างยกมือสนับสนุนลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช

กระทู้ถัดไปเป็นกระทู้ถามสาเหตุที่ให้มีการวินิจฉัยตัดสิน กรณีนายไชยบูลย์ตามลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช แต่กลับมีการปกป้องกันอย่างออกหน้า ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ

ประเด็นนี้พระดุษฎีกล่าวว่าว่า ญาติโยมต้องเข้มแข็งมากขึ้นจะไปหวังพึ่งใครไม่ได้แล้ว เพราะไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์ ตอนนี้คนที่ห่มผ้าเหลืองมีอยู่ด้วยกัน 2 พวกคือพวกหนึ่งอยู่เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ อีกพวกหนึ่งอยู่เพราะผ้าเหลือหากินง่าย ญาติโยมต้องแยกแยะให้ดี กรณีวัดพระธรรมกายก็เช่นกันหากแก้ไขไม่ดีก็จะแบ่งเป็นก๊ก เคยได้เห็นการโกงมามากแล้ว คิดง่ายทอดผ้าป่าครั้งเดียวได้เงินหลายสิบล้าน แต่บอกว่ามีไม่มากนิดหน่อย ก็แสดงว่าวัดจนแต่พระรวย ญาติโยมอย่าหลงประเด็นเรื่องที่ดินเรื่องเล็ก แต่เงินที่ทำบุญพระกลับเอาไปทำบาปคนทำบุญก็บาป โดยเฉพาะเรื่องอวดอุตริมนุสะรรมที่บาปมากกว่า

"เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ กรมศาสนาหย่อนยานมากที่สุด เจ้าคณะภาคหนึ่งน่าสงสารเพราะจะสอบสวนยังต้องวิ่งไปหานายไชยบูลย์เลย ลูกวัดของสมเด็จเองยังจัดการไม่ได้เลย" ซัดโกงภาษีที่ดินก็ปาราชิก

กระทู้ต่อมาเป็นเรื่องของพระเถรฯนิยมที่จะซื้อหารถยนต์ราคาแพงๆหลายล้านบาม ไม่เป็นการเหมาะสมของผู้ถือศิล 227 ข้อ กำนันทรงมีมุมองว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำเรื่องนี้ พระต้องตัดความโลภโกรธหลง เป็นการหลอกลวงประชาชนมีรถเท่เพื่อให้คนบริจาคเงินมากๆ

พระอาจารย์ดุษฎีเห็นว่าเรื่องการซื้อรถยนต์ราคาแพงๆ อยากให้ดูตัวอย่างอาจารย์ชา สุภัทโท ที่ล่วงลับไปแล้วมีโยมมาถวายรถราคาหลายล้านท่านยังต้องประชุมพระลูกวัด ปรากฏว่าพระทุกองค์เห็นด้วยให้รับไว้ แต่มีอยู่รูปหนึ่งกับคัดค้านว่าไม่น่าเอาเปรียบญาติโยม เพราะเรายังบิณฑบาตรอยู่ แต่กลับมานั่งรถราคาแพงๆขณะที่ชาวบ้านยังลำบากอยู่ ที่สุดก็ปฏิเสธไม่ยอมรับรถคันดังกล่าว ควรซื้อรถที่เป็นประโยชน์ต่อกิจสงฆ์ใช้ประโยชน์มากอย่างรถตู้ พระเวลาตายไปมีทรัพย์สินมากๆเป็นการประจานตัวเอง อย่าอ้างว่าต้องใช้ในกิจสงฆ์เพราะเวลาโยมนิมนต์มักนำรถมารับ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถยุโรป

ท่านพุทธทาสก็เช่นกันเวลาญาติโยมนิมนต์ก็ใช้รถกะบะราคา 50,000 บาทเท่านั้น ถ้าท่านนั่งรถแพงก็จะเทศน์ให้ชาวบ้านฟังไม่ได้เพราะตัวเองยังไม่ละกิเลส ใครจะถวายไม่รับอย่างเดียว แต่จะว่าไปมหาเถรฯก็อาจมีความรอบคอบเพราะไม่จับนายไชยบูลย์ ไม่เช่นนั้นสึกไปแล้วที่ดินก็จะตกเป็นของนายไชยบูลย์ทั้งหมด เห็นได้ว่ามีความตั้งใจจะไม่คืนอยู่แล้ว สังเกตได้ว่ามีการยึกยักทยอยโอน แม้แต่จะโอนที่ดินเป็นของตัวเองยังโกงประเทศชาติเลย เพราะได้ใช้ความพยายามหลบเลี่ยงภาษีรัฐ เท่านี้ก็ผิดพระธรรมวินัยแล้ว

พระพยอมซัดบิ๊กกรมศาสนา

ที่วัดสวนแก้ว นนทบุรี พระพิศาลธรรมพาทีหรือพระพยอม กัลยาโร ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้วกล่าวถึงกรณีที่นายอำนาจ บัวศิริ ผ.อ. พุทธมณฑล ที่ไปร่วมรายการ "ชิตังเม" แล้วได้กล่าวสนับสนุนวัดพระธรรมกายว่า เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่ามีเส้นสนกลในกันอยู่ จะคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมศาสนาแต่ไปร่วมรายการวิทยุของวัดพระธรรมกาย แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันเปรียบเหมือนเป็นขโมยกับขมาย คือธรรมกายขโมยของประชาชนไปแล้วถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือนักการเมืองขมายต่อไปอีกทอดหนึ่ง เพื่อเตรียมเงินไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ตรงนี้มีหลายคนตั้งข้อสังเกตุและสงสัยกันอยุ่ เพราะไม่เช่นนั้นจะมาออกรายการเชียร์กันทำไม ใครๆก็ดูออกว่าเขาเข้าไปอยุ่กับเดียรถีได้อย่างไร

"กรณีธรรมกายนี้นับเป็นคุณแก่พระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เพราะยิ่งนานก็ยิ่งขุดคุ้ยเบื้องหลังออกมาได้อีกมาก ทราบว่าพรรคการเมืองไหน บริษัทไหนที่เข้าไปให้การสนับสนุน ดีไม่ดีพรรคการเมืองใหญ่อาจจะพลาดตอนนี้ก็ได้ เข้าตำราพระดึงการเมือง หรือการเมืองดึงพระ ดีไม่ดีจะร่วงไปตามๆ กัน เพราะท่าทีที่แสดงออกมาให้เห็นคือเชื่อใจนายไชยบูลย์ อาตมาเคยเชื่อใจ เคยศรัทธาและชื่นชมในตัวคุณชวนมาโดยตลอด ยอมรับว่าตรงนี้เกิดความระแวงสงสัย อย่างไรก็ตามอาตมาเห็นด้วยกับแนวทางการใช้กฏ มส.ที่ 24 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการมาดำเนินการ กับอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก่อน"

นอกจากนั้นพระพยอมยังกล่าวถึง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญว่า ก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้าจัดการกับธรรมกาย จะต้องมีผลกระทบต่อวัดปากน้ำแน่นอน เนื่องจากเป็นต้นแบบของวัดพระธรรมกาย ปัญหาอยู่ที่กรรมการ มส.3-4 รูป ทางออกในขณะนี้มี 2 ทางเท่านั้นคือรัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจโดยมีประชาชนเป็นพลังจำนวนมาก ช่วยกันกดดันก็จะสามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้อย่างเช่น ผู้ที่เป็นนักธุรกิจสนับสนุนวัดพระธรรมกายอยู่ ถ้ามีประชาชนร่วมกันคว่ำบาตร ไม่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อนั้นเขาก็คงอยู่ไม่ได้

"ถ้าเราพ่ายแพ้ให้แก่สมเด็จฯที่อุ้มเดียร์ถีย์อยู่ โดยท่านเหล่านี้ จะต้องขึ้นเป็นประมุขสงฆ์ในอนาคต เรามิต้องกราบไหว้ประมุขที่อุ้มเดียร์ถีย์หรืออย่างไร" พระพยอมกล่าว

ทางด้านนางมยุรา อุรเคน รองโฆกพรรคความหวังใหม่ได้กล่าวว่า พรรคฝ่ายค้านขอเรียกร้องให้นายชวนและรัฐบาลจัดการปัญหานี้ ไม่เช่นนั้นฝ่ายค้านคงต้องออกมาดำเนินการในเรื่องหนึ่งเพื่อปกป้องศาสนา