นรกจะกินหัว มารศาสนาขู่ระเบิดวัดบวรฯ หลังจากสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตให้จับ "ธัมมชโย" สึก ประมุขสงฆ์ทรงออกพระลิขิตอีกฉบับ ย้ำเจ้าอาวาสวัดฉาวปาราชิกฐานลักทรัพย์ โกงสมบัติวัดเป็นของตัว ไม่ใช่พระในศาสนาเป็นแค่คนใส่ผ้าเหลือง ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปจัดการเอาเอง จับตาดาบ 2 ที่จะทรงใช้พระราชอำนาจตามกฎหมายสั่งสึกเลย ถ้ายังยึกยัก มั่นใจเดือนนี้ยุติแน่ กรมศาสนาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีก ดึงเรื่องเสนอพระพรหมโมลีให้พิจารณา กะส่งเข้ามหาเถรฯ ให้ถกเถียงกันเข้าทางธรรมกายที่ประกาศชัดไม่ยอมรับพระลิขิตพระเถรสายธรรมยุติชักธงธรรมจักร ระบุงานนี้ไม่ขอนิ่งเฉยจะต้องลงมติไม่ปล่อยให้มหานิกายว่ากันเองอีกต่อไป

ปัญหาธรรมกายทำท่ายืดเยื้ออีกครั้ง แม้ว่าสมเด็จพระสังฆราช จะมีพระลิขิตลงวันที่ 26 เม.ย. ให้จัดการสึกพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เนื่อง จากไม่โอนที่ดินที่ได้จากการเป็นพระให้วัด ส่อเจตนาจะเอาเป็นของตัวเอง ซึ่งวัดพระธรรมกายพยายามจะเรียกร้องให้มีการนำพระลิขิตเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) และสอดคล้องกับท่าทีของกรมการศาสนาที่จะทำตามโดยเสนอเรื่องเข้ามหาเถรสมาคมด้วยเช่นกัน จ พระลิขิตอีกฉบับข้อหาปาราชิก

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรีว่า สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงจำวัดที่วัดญาณฯ ตั้งแต่คืนวันที่ 29 เม.ย. และในรุ่งเช้าวันนี้ได้มีการนำข่าวกรณีสมเด็จพระสังฆราช ที่มีพระลิขิตต้องการให้จัดการพระไชยบูลย์ในข้อหาปาราชิกถวายให้สมเด็จพระสังฆราช โดยหลังจากที่ได้ทรงอ่านข่าวแล้วก็มีพระลิขิตอีกฉบับ เพื่อขยายความหมายของพระลิขิตฉบับที่เพิ่งออกมา โดยมีเนื้อหาใจความว่า

"การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ

ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น

ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน"

ส่วนที่คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศฯในวันเดียวกัน ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีประชาชนโทรศัพท์มาสอบถามเรื่องนี้ตลอดไม่ขาดสาย ซึ่งพระได้แจ้งไปว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงมีภารกิจเดินทางไปที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อปฏิบัติศาสนกิจ

ธรรมยุติชักธงลงมติในมส.

ทางด้านพระราชรัตนมงคล พระเลขานุ การในสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า อาตมาเพิ่งได้เห็นพระลิขิตฉบับนี้ยังไม่ได้กราบทูลถามรายละเอียด จากสมเด็จพระสังฆราช อย่างไรก็ตามเป็นเพียงพระลิขิตเท่านั้นไม่ใช่พระบัญชา ซึ่งผู้ที่ได้รับทราบก็ไม่ต้องสับสน เพราะได้ลิขิตโดยกล่าวถึงภาพรวมบทลงโทษ พูดตามหลักการพระวินัยไม่ได้เจาะจงไปที่วัดใดวัดหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าพระสงฆ์รูปใดก็ต้องถือปฏิบัติในลักษณะนี้ คือพระรูปใดที่ถือครองที่ดินของวัดจะต้องคืนให้วัดทันที การถือครองที่ดินวัดเป็นของตนเองนั้นถือเป็นความผิดทั้งสิ้น เป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติกันทั้งประเทศอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะที่วัดพระธรรมกาย สำหรับการดำเนินการต่อพระสงฆ์ที่ไม่ยอมโอนที่ดินนั้น ต้องมีโจทก์ฟ้องร้องมีเอกสารพยานชัดเจน โดยสามารถร้องเรียนได้ตามลำดับ การปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงเจ้าคณะภาค หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้เสนอมายังมหาเถรฯ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตเช่นนี้ ตามหลักการกรมการศาสนาต้องเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเพื่อสอบถามแนวทางการปฏิบัติ หรืออาจหารือกับพระผู้ใหญ่ว่าจะต้องนำเข้าที่ประชุมมหาเถรฯหรือไม่ อย่างไรก็ตามกรณีวัดพระธรรมกาย ในการประชุมมหาเถรฯนั้นคณะกรรมการฝ่ายมหานิกายจะเป็นผู้พิจารณา ส่วนฝ่ายธรรมยุติร่วมฟังเฉย ๆ แต่เมื่อถูกต่อว่ามาก็จะต่อว่ามหาเถรฯทั้งหมด ถ้าทางฝ่ายธรรมยุติพูดก็จะมีปัญหาทะเลาะกันเปล่า ๆ แต่ต่อไปนี้คงนิ่งเฉยไม่ได้

"หลังจากได้รับพระลิขิตแล้ว ทางกรมการศาสนาจะดำเนินการใน 2 แนวทาง คือนำเสนอให้กระทรวงได้รับทราบและนำไปมอบให้พระพรหมโมลี ส่วนอีกแนวทางหนึ่งนั้นอาจจะกราบขอคำแนะนำพระผู้ใหญ่ในมหาเถรฯว่าจะต้องนำเข้าที่ประชุมหรือไม่ แต่เท่าที่ดูในเอกสารแล้วน่าจะเป็นพระลิขิตตามพระดำริ จึงไม่มีผลทางกฎหมาย จะไปสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคงทำไม่ได้"

พระลิขิตถูกต้องตามพระวินัย

นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นักวิชาการกรรมาธิการการศาสนา กล่าวว่าพระลิขิตที่เป็นพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราชครั้งนี้ไม่ขัดแย้งพระธรรมวินัย เพราะในปาราชิกมีเหตุ 4 เรื่องคือเสพเมถุน ลักทรัพย์ ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งพระลิขิตกล่าวถึงเรื่องการลักทรัพย์ ที่ระบุไว้ว่าหนังสือ "วินัยมุข" เล่ม 1 หลักสูตรนักธรรมตรี อย่างชัดเจนว่า รวมถึงการยักยอก เบียดบัง หากว่าพระไชยบูลย์ไม่โอนที่ดินถือว่าเป็นการยักยอกได้ เนื่องจากคนมาทำบุญ เพราะเห็นเป็นพระให้ศาสนา แต่กลับเอาเงินไปซื้อที่ดิน ทางที่ดีกรมการศาสนาในฐานะเลขานุการมหาเถรฯ น่าจะนำเรื่องนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมมหาเถรฯ หากรูปใดไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป ไม่น่าไปใช้พระพรหมโมลีนำเข้าให้ กรมน่าจะเอาเข้าไปเองเลย ทางที่ดีกรมการศาสนาหรือพระพรหมโมลีติดต่อไปยังพระไชยบูลย์จะยอมโอนที่ดินให้หรือไม่ เพื่อจะได้ทราบคำตอบแน่นอน เพราะเชื่อว่าคำตอบที่ผ่านมาไม่ได้มาจากปากพระไชยบูลย์

ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ลูกศิษย์ห้องกระจก วัดบวรนิเวศ กล่าวว่าที่มีคนสงสัยพระลิขิตเป็นของปลอม หรือลูกศิษย์ทำขึ้นมาเองนั้น ใครจะพูดอะไรแล้วแต่ปัญญาจะมีมากน้อยแค่ไหน ตนและคนจำนวนมากรู้สึกดีใจที่สมเด็จพระสังฆราชกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยท่านได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ไม่ได้บังคับใครให้ทำตาม เพียงแต่บอกให้พุทธบริษัทเข้าใจสิ่งที่ถูกต้กอง และในวันนี้ที่มีพระลิขิตออกมาอีก โดยไม่ได้มีการลงพระนามเพราะว่าท่านไม่ต้องการจะไปบังคับใคร เป็นการทำส่วนพระองค์ ฝ่ายบ้านเมืองจะทำตามหรือไม่แล้วแต่ไปพิจารณากัน

จับตาดาบ 2 พระสังฆราช

นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ให้ความเห็นว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระราชอำนาจ 2 ทางคือผ่านมหาเถรฯ กับใช้พระราชอำนาจโดยตรงในฐานะสกลมหาสังฆปริณายก ตามมาตรา 8 ของพระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2505 กรณีพระลิขิตนี้ยังไม่ถือเป็นคำสั่ง เพราะพระบัญชาต้องมีเลขหนังสือ และต้องลงพระนามถือได้ว่าเป็นเพียงแนวทางให้ปฏิบัติ แต่กรมการศาสนาสามารถปฏิบัติได้เลย เพราะถือเป็นพระวินิจฉัยแล้ว โดยสมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิตในลักษณะนี้มาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2

"ที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชทรงใช้พระคุณมากกว่าพระเดชผ่านที่ประชุมหาเถรฯ พระลิขิตครั้งแรกทรงต้องการให้ปฏิบัติตาม แต่มหาเถรฯยังไม่มีท่าทีชัดเจน ลูบหน้าปะจมูก ผมเข้าใจว่าถ้ายังไม่มีการปฏิบัติตามพระลิขิต จะมีพระบัญชาอย่างเป็นทางการออกมาแน่ มหาเถรฯและกรมการศาสนาคงต้องสำนึกให้มาก ใครเป็นประมุขสงฆ์และทรงประสงค์อะไร ท้ายสุดถ้าไม่ทำตามผมเชื่อว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงสามารถใช้อำนาจตามมาตรา 8 "

นายเสฐียรพงษ์กล่าวอีกว่าพระลิขิตที่ออกมาเพราะการทำงานของมหาเถรสมาคมไม่มีการแก้ไขปัญหา มีพระลิขิตออกมาเพื่อให้สังคมรับรู้ สร้างแรงกดดันให้มีการปฏิบัติกันอย่างจริงจัง

"แม้ว่าจะดึงกันไปกันมา ยืดเวลาออกไป แต่ที่สุดแล้วก็ต้องวินิจฉัยออกมาตามพระลิขิต หากว่าไม่ออกมาเป็นอย่างนั้น คิดว่าสมเด็จพระสังฆราชก็ต้องมีวิธีการดำเนินการขั้นต่อไป และคาดการณ์ไว้ว่า เรื่องนี้จะต้องจบในเดือนพฤษภาคมนี้อย่างแน่นอน ผมจะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชในเร็ว ๆ นี้"

ขู่วางระเบิดวัดบวรฯ

ทางด้านพ.ต.ท.เพทาย พอล้วนประเสริฐ สวป. สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการโทรศัพท์ไปข่มขู่ทางโรงพิมพ์ต่าง ๆ รวมถึงมีการฝากข้อความเข้าวิทยุติดตามตัวว่าจะมีการวางระเบิดวัดบวรนิเวศฯ ซึ่งคาดว่าคงเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี

พระมหาบุญถึง ชุตินธโร ผู้ช่วยอธิการ บดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า ขอวิงวอนให้มหาเถรฯเคารพในพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ไม่ควรเตะถ่วง โดยเฉพาะการที่มีผู้มาพูดว่าพระลิขิตไม่ใช่พระบัญชานั้นความจริงเป็นข้อความที่พระองค์วินิจฉัยแล้ว ควรรับไปปฏิบัติไม่ใช่มาตีความพระวินิจฉัยให้มีค่าต่ำลง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายควรจะรู้ตัว ถ้าเคารพในพระเถระผู้ใหญ่น่าจะปฏิบัติตาม เพราะช่วงนี้พระนิสิตที่ออกปฏิบัติศาสนากิจได้กลับมาแล้ว มหาจุฬาฯจะมีการประชุมกันเพื่อกดดันพระเถระให้ปฏิบัติตามพระลิขิต

ขณะที่พ.อ.ทองขาว พ่วงรอดพันธ์ นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาจุฬาฯแกนนำองค์กรพุทธสมาคม 172 องค์กร กล่าวว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาได้แล้วเพราะอะไรที่พระประมุขสงฆ์จึงต้องมีพระลิขิตเช่นนี้ โดยกระบวนการดำเนินงานของกรมการศาสนาเหมือนกับคนเอามือซุกหีบ บ่ายเบี่ยง ทั้งที่อธิบดีกรมการศาสนามีหน้าที่ต้องสนองพระบัญชา การที่พระไชยบูลย์นำเงินไปซื้อที่ดินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่บ้านเมืองควรจะร่วม มือกับคณะสงฆ์เพื่อปฏิบัติสนองพระบัญชา ส่วนทางพุทธสมาคมจะรวบรวมแนวร่วมชาวพุทธทั่วประเทศ ร่วมกันผลักดันเรื่องนี้

กรมศาสนาโยนลูกพระพรหมโมลี

ทางด้านนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่า เพิ่งจะได้รับพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชจากพระราชรัตนมงคล ผู้ปฏิบัติหน้าที่พระเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเมื่อเช้าที่ผ่านมา ซึ่งพระลิขิตดังกล่าวถือเป็นพระวินิจฉัยก็ได้ และจะนำพระลิขิตดังกล่าวเสนอต่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 พิจารณาว่าจะให้กรมการศาสนาดำเนินการอย่างไรต่อไป และควรที่จะนำพระลิขิตนี้เข้าที่ประชุมมหาเถรฯหรือไม่ โดยจะไปกราบนมัสการหารือเรื่องดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้ แต่คงจะไม่เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชอีก

ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนายพิภพกล่าวว่าจะนำพระลิขิตฉบับล่าสุดที่ออกมาในวันนี้ เสนอพระพรหมโมลีให้พิจารณาด้วย แต่ยังเข้าพบไม่ได้เพราะพระพรหมโมลีติดกิจนิมนต์ โดยจะไปพบให้เร็วที่สุด

"กรมการศาสนา ทำเรื่องที่ถูกต้องตามหลักการทุกอย่าง ยึดหลักการของมหาเถรฯและ มติมหาเถรฯ สนองแและประสานใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย อาจดูล่าช้าไม่ทันใจคนแต่เราทำถูกต้องแล้ว"

นายสำรวย สารัตถ์ ผู้อำนวยการสำนัก งานเลขานุการมหาเถรสมาคม เปิดเผยว่า พระลิขิตนี้ถือเป็นพระวินิจฉัยหรือพระดำริของสมเด็จพระสังฆราชไม่ใช่พระบัญชา เพราะพระบัญชา นั้นจะต้องได้รับการรับรองจากมหาเถรฯ ดังนั้นพระลิขิตนี้จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะสามารถสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ ส่วนที่จะนำพระลิขิตเข้าหารือในที่ประชุมมหาเถรฯในครั้งต่อไปหรือไม่นั้น กรมการศาสนาต้องหารือกับพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรฯก่อน แต่ในเบื้องต้นได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำพระลิขิตไปให้พระพรหมโมลีแล้ว

"ขณะนี้ทางกรมคงไม่สามารถไปสึกพระธัมมชโย เพราะการสึกพระต้องมีหลักฐานความผิด ทั้งพยานเอกสาร และพยานบุคคลที่ชัดแจ้ง และเรื่องการถือครองที่ดินก็ไม่ถือว่าต้องปาราชิก เพราะในวินัยสงฆ์ได้บัญญัติเหตุที่จะทำให้พระต้องปาราชิกไว้เพียง 4 เรื่องคือ เสพเมถุน ฆ่าคนตาย ลักเงิน 5 มาสก และอวดอุตริมนุสธรรม ถึงแม้ว่าสมเด็จพระสังฆราชจะมีพระบัญชาอย่างหนึ่งอย่างใด แต่พระบัญชานั้นต้องไม่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรฯ สำหรับการถือครองที่ดินนั้นในวันที่ 10 พ.ค.นี้ ที่ประชุมมหาเถรฯจะรับรองมติเรื่องไม่ให้พระถือครองที่ดินโดยภาพรวม ไม่ได้เจาะจงเฉพาะกรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพียงกรณีเดียว"

ธรรมกายประกาศสู้

ส่วนความเคลื่อนไหวที่วัดพระธรรมกาย ตั้งแต่คืนวันที่ 29 เม.ย.นั้น มีรายงานข่าวระบุว่า พระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทัตตชีโว) รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้เรียกประชุมพระผู้ใหญ่ของวัด รวมถึงผู้นำบุญจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากการประชุมหารือนั้น ที่ประชุมได้มีความเห็นแตกกันเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายหนึ่งเสนอให้มีการเรียกผู้นำบุญและสาวกทั่วประเทศมาชุมนุม เพื่อกดดันพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชกับมหาเถรสมาคมที่จะมีการประชุมในวันที่ 4 พ.ค.นี้ ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรดำเนินการตามพระลิขิตอย่างเคร่ง ครัด ทำให้มีการถกเถียงกันนานกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ปรากฏว่าเมื่อเช้าวันที่ 30 เม.ย. พระไชยบูลย์ได้มีคำสั่งไปที่ทางมูลนิธิพระธรรมกาย ให้ติดต่อไปยังสายผู้นำบุญทั้งหมดให้ยกเลิกการชุมนุมภายในวัด โดยที่ไม่มีการชี้แจงเหตุผล ท่ามกลางความตกตะลึงของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ

ขณะเดียวกัน เวลา 09.00 น. พล.ต.ต. อชิระ สมแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปวัดพระธรรมกายเพื่อตรวจความเรียบร้อย และสั่งการด้วยตนเองให้มีการจัดชุดสายตรวจและสายสืบเข้าไปรวบรวมข้อมูลภายในวัดให้มากที่สุด รวมถึงความเคลื่อนไหวอื่นๆในวัดพระธรรมกายด้วย ทั้งนี้ได้มีการสั่งให้จัดชุดสายตรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแก่ทางวัด

พล.ต.ต.อชิระกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนที่มีข่าวออกมาว่าพระไชยบูลย์ ธัมมชโยจะหลบหนี คงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ที่นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยสังเกตการณ์เนื่องจากได้ทราบว่า จะมีการชุมนุมของเหล่าสาวกและผู้นำบุญของวัด เกรงว่าจะบานปลายนำไปสู่เหตุร้ายได้ กรณีพระลิขิตยังไม่มีหนังสืออย่างเป็นทางการ ถ้ามีบัญชาหรือมีคำสั่งต้องประสานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคงจะส่งกำลังมาดูแลเรื่องนี้

จากนั้นพล.ต.ต.อชิระได้เดินทางมาสมทบกับพล.ต.ต.พิชิต ควรเตชะคุปต์ รองผบช.ภาค 1 ที่สภ.อ. คลองหลวง เพื่อประชุมนายตำรวจเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวหลังจากมีข่าวว่าจะทำการจับสึก และวางนโยบายให้ตำรวจคลองหลวงเข้าไปสังเกตการณ์

เวลา 11.00 น. ของวันเดียวกัน นายประทีป หงษ์โสภา ศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี พร้อมคณะได้เดินทางเข้าไปในวัดพระธรรมกาย เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย และจะเข้านมัสการพระราชภาวนาวิสุทธิ์ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากกรมการศาสนา ไม่มีคำสั่งสด ๆ แต่วันนี้หลังจากมีข่าวก็จะเข้ามาตรวจตราดูแลตามภาระหน้าที่รับผิดชอบ เข้าไปข้างในไม่พบพระ ผู้ใหญ่เลย พบแต่บรรดาฝ่ายกฎหมาย ญาติโยม

อ้างจะฟังแต่คำสั่งมหาเถรฯ

ด้านนายมานิต รัตนสุวรรณ ที่ปรึกษาของมูลนิธิพระธรรมกาย เปิดเผยว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชนั้นไม่ได้ระบุว่าเป็นเจ้าอาวาสใด ไม่ได้ระบุว่าเป็นวัดพระธรรมกาย จึงไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวสรุปออกมาว่าให้จับพระธัมมชโยสึก และยังไม่ได้รับจดหมาย ถ้าจะมาถึงก็จะต้องเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการ เท่าที่ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนาได้พูดก็ชัดเจนว่า พระลิขิตออกมาเป็นความเห็นส่วนตัวของสมเด็จพระสังฆราช ไม่ได้เป็นพระบัญชาหรือคำสั่ง เพราะถ้าเป็นพระบัญชาหรือพระคำสั่งไปที่กรมการศาสนาเพื่อลงเลขที่พระบัญชา กรณีนี้กรมการศาสนาจะต้องนำพระลิขิตเสนอมหาเถรฯเพื่อพิจารณา

"แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าพระดำรินั้นไม่ได้ระบุตัวผู้ใด พูดเป็นกลางแสดงว่าเป็นความเห็น จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่มีการวินิจฉัย มหาเถรฯก็เหมือนกับศาล กฎหมายต้องมีผู้กล่าวหาและวินิจฉัย ในโอกาสนี้เรายังไม่ได้รับหนังสือใด ๆ จากมหาเถรฯซึ่งปกติจะมีการประชุมทุก 10 วัน คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 4 พ.ค.นี้ เรื่องนี้ก็จะต้องนำเข้าที่ประชุมหาเถรฯตัดสินอย่างไร ก็จะส่งเรื่องมาให้"

แฉวัดฉาวโมเมไม่โอนที่

ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น. นายวิเชียร รัตนพีระพงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน เปิดเผยถึงกรณีที่พระไชยบูลย์ ธัมมชโยไม่ยอมโอนที่ดินคืนให้แก่วัด โดยอ้างว่าไม่มีปัจจัยในการดำเนินการนั้นว่า ในการโอนที่ดินดังกล่าวพระไชยบูลย์จะต้องเสียภาษีตามกฎกระทรวงร้อยละ 2 ของราคาประเมินที่ดิน โดยจะได้รับการยกเว้นเฉพาะ 50 ไร่ ที่เป็นบริเวณที่ตั้งของวัดเท่านั้น ที่จ่ายค่าธรรมเนียมเพียงร้อยละ 0.01 ส่วนที่ดินบริเวณอื่น ๆ จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะค่าธรรมเนียมและภาษีเงินได้

รายงานข่าวจากกรมที่ดินเปิดเผย ถึงรายละเอียดในการโอน หรือบริจาคที่ดินให้กับวัดว่า ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 47 ที่ออกตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 กำหนดว่า การโอนที่ดินให้กับวัดมี 2 ประเภทคือ ให้พระสงฆ์เป็นผู้ถือแทนวัด โดยหากภายหลังพระสงฆ์มีเจตนาจะโอนที่ให้ตัวการหรือวัดจะไม่ต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ เพียงชำระเงินจำนวนแปลงละ 50 บาทเท่านั้น แต่หากเป็นแบบไม่มีทุนทรัพย์คือ พระสงฆ์หรือเจ้าอาวาสวัด เป็นผู้ลงนามในการรับมอบที่ดินจากการบริจาคไว้เอง และมีหลักฐานแน่ชัดว่า จะไม่มีการโอนคืนให้กับวัดแล้ว จะต้องเสียค่าธรรมเนียมตามปกติคือ ร้อยละ 2 ของราคาประเมินที่ดิน

นอกจากนี้ ในการพิจารณาว่าพระสงฆ์ตั้งใจที่จะรับที่ดินไว้เองหรือต้องการจะโอนคืนให้วัดภายหลังนั้น จะต้องทำเรื่องให้กรมที่ดินพิจารณาหลักฐานเอกสาร ซึ่งพิจารณาค่อนข้างยาก โดยกรณีของพระไชยบูลย์ที่อ้างว่าไม่สามารถโอนที่ดินคืนให้วัดได้ เนื่องจากจะต้องรับภาระภาษีจำนวนมากนั้น จะต้องมีการพิจารณาเช่นกันว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในหลักเกณฑ์ใด โดยหากมีเจตนาที่จะคืนที่ดินให้กับวัดจริง ก็ไม่ต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ จ่ายเพียงแปลงละ 50 บาทเท่านั้นตามกฎกระทรวง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพิษณุโลกว่า ธุดงคสถานพิษณุโลก สาขาของวัดพระธรรมกาย บรรยากาศเงียบเหงาทันที ขณะที่มีญาติโยมที่เคยเข้าวัดบอกว่าพระที่วัดนี้ไม่รับกิจนิมนต์ บิณฑบาตในช่วงสาย ๆ และลูกชายก็บวชภาคฤดูร้อนที่วัดนี้ และอยากให้สึกมาเร็ว ๆ เพราะวัดนี้มีข่าวไม่สู้ดี กลัวถลำลึกยึดติดคำสอนของวัดพระธรรมกาย

โทรฯ จวก "อาคม" แย่มาก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มเติมว่า ได้มีโทรศัพท์จำนวนมากเข้ามาต่อว่าที่หน้าห้องนายอาคม เอ่งฉ่วน รมช.ศึกษาธิการ เพราะนายอาคมออกโทรทัศน์ในช่วงเช้ากล่าวว่ายังไม่ยืนยันมีพระลิขิต และอาจเป็นศิษย์พระสังฆราชทำ และในช่วงค่ำยังมีการออกข่าวอีกโดยนายอาคมมอบให้อธิบดีกรมการศาสนาไปประ สานกับพระพรหมโมลี ซึ่งโทรศัพท์ที่ต่อว่านี้ระบุว่านายอาคมแย่มาก ที่กล่าวอย่างนี้

พ่อคูณหนุนสึกธัมมชโย

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครราชสีมารายงานว่า พระราชวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่ ได้กล่าวสนับสนุนกรณีที่สมเด็จพระสังฆราช มีพระลิขิตให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องปาราชิกและให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดว่า "กูอยากให้จัดการอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักทีก็ดีเหมือนกัน ขืนปล่อยไป นาน ๆ เรื่องราวมันจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่"

ด้านพระครูสังวรานุรักษ์เจ้าอาวาสวัดโคกรักษ์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่หลวงพ่อคูณโปรดปรานและให้ความไว้วางใจมากรูปหนึ่ง ได้กล่าวเสริมหลวงพ่อคูณด้วยว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิตให้ดำเนินการเช่นนี้ อาตมาก็เชื่อว่าพระองค์ทรงมีพระวินิจฉัยเป็นที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ทั้งนี้ใครก็ตามที่ทำให้เกิดสังฆเภทหรือการกระทำให้พระสงฆ์ต้องแตกแยกกัน นับเป็นการทำบาปอย่างมหันต์

พระพุทธองค์ทรงสอนถึงกรรมที่เป็นบาปหนักของมนุษย์ 5 ชั้นอาทิ ปิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระโลหิตพระพุทธเจ้าตกลงฝ่าเท้า และสังฆเภท อธิบายได้ว่าการทำบาปด้วยการฆ่าพ่อ ยังไม่เท่ากับการฆ่าแม่ การฆ่าแม่ก็บาปน้อยกว่าการฆ่าพระอรหันต์ ขณะที่การฆ่าพระอรหันต์บาปจะน้อยกว่า ทำให้พระโลหิตของพระพุทธองค์ตกลงฝ่าเท้า และการทำบาปที่สุด เป็นการทำให้พระสงฆ์ต้องแตกแยกกันเป็นสองฝักสองฝ่าย ซึ่งนับเป็นบาปกรรมที่หาที่สุดไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าในขณะที่เจ้าอาวาส วัดโคกรักษ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวอยู่นั้น หลวงพ่อคูณจะคอยพูดเสริมตลอดเวลาว่า "ใช่-ใช่ กูก็ว่าจริงอย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ ถูกต้อง ๆ".