วัดฉาวท้าทายอำนาจมหาเถรสมาคม จัดโครงการบุญเพียบประกาศเรี่ยไรทุกกองทุน แถมมีกำ หนดเวลาไว้เสร็จว่าต้องทำภายในวันนั้นวันนี้ พร้อมแจกของสมนาคุณ "พระมหาสิริราชธาตุกรอบพญานาค" สำหรับผู้บริจาคครบ 10 กองทุนในรหัสเดียวกันกองทุนละ 5,000 บาท ไม่สะใจยังโฆษณาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์พระดูดทรัพย์เย้ย อาจารย์มหิดลลุยหนัก จี้ถอดถอนปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก "ไชยบูลย์ ธัมมชโย" ฐานออกนอกลู่นอกทางจัดสรรผลประโยชน์และอวดอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เจ้าหน้าที่กรมการศาสนายืนยันจัดการวัดฉาวไม่ได้เกรงใจพระผู้ใหญ่ แต่ฆราวาสใช้อำนาจจัดการสงฆ์ไม่ได้

เมื่อเวลา 9.30 น. วันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้มาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกายเพียง 1,500 คนเศษ โดยมีพระมหาสมบุญ สัมมาปัญโญ บรรณาธิการหนังสืออานุภาพ พระมหาสิริราชธาตุ เป็นผู้แสดงธรรมเทศนาให้แก่ผู้มาปฏิบัติธรรม โดยการแสดงเทศนาครั้งนี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงนิพพานเป็นอัตตาแต่อย่างใด กระทั่งเวลาประมาณ 10.57 น. พระภาวนาวิริยคุณ (พระทัตตชีโว) จึงได้ลงมาแสดงธรรมเทศนา

รายงานยังระบุว่า ภายในวัดพระธรรมกายนั้นยังมีการออกเอกสารเรี่ยไรหลายรูปแบบเช่นเดิม อาทิ กองทุนธรรมะคุ้มครองโลก ที่กำหนดไว้กองทุนละ 500 บาท ซึ่งผู้บริจาคจะได้รับเหรียญคุ้มครองโลก โครงการบุญพิเศษ สร้างธรรมทานถวายวัด 30,000 แห่ง กำหนดไว้กองละ 1,000 บาท ผู้บริจาคจะได้รับหนังสือกัลยาณมิตรตลอด 1 ปี โครงการร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ มหารัตนทาน ทุนละ 5,000 บาท ผู้บริจาค 1 ทุนจะได้รับเหรียญมหารัตนทาน ถ้าบริจาค 10 ทุน(รหัสบุญเดียวกัน) จะได้รับพระมหาสิริราชธาตุกรอบพญานาค 1 องค์ โดยมีกำหนดถึงวันที่ 22 เม.ย.นี้ จะเห็นได้ว่าวิธีการเรี่ยไรนั้นคล้ายกับการขายสินค้าแอมเวย์ที่มีรหัสสะสมยอด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายนั้น ได้มีการจัดรายการประกาศสรรพคุณของพระมหาสิริราชธาตุ โดยมีผู้มาปฏิบัติธรรมผลัดกันขึ้นมาเล่าเรื่องราวที่ตนเองประสบพบเห็น อาทิ นางอำพร กรแก้ว อาชีพครู อยู่จังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่าหลังจากที่ได้สร้างพระธรรมกายประจำตัวจำนวน 30,000 บาทแล้วได้ไปเดินซื้อของที่ห้างแม็คโคร ระหว่างที่กำลังซื้อของอยุ่นั้นเป็นช่วงที่มีการจัดรายการนาทีทอง คือให้ผู้โชคดีสามารถซื้อสินค้าได้ฟรีทุกรายการ ขณะที่กำลังอธิษฐานถึงพระมหาสิริราชธาตุ เจ้าหน้าที่ของห้างก็มาบอกว่า เป็นผู้โชคดีได้ช็อปปิ้งฟรี

นอกจากนี้แล้วยังทำให้การค้าขายอยู่ในเกณฑ์ดีมากจากที่เคยขายได้วันละ 400-500 บาทหลังจากได้สร้างพระธรรมกายฯแล้วสามารถค้าขายได้ถึงวันละ 2,000-3,000 บาท ยิ่งวันใดทำเทปบทสวดของหลวงพ่อธัมมชโยไปเปิดหน้าร้านสามารถสร้างยอดขายได้ถึงวันละ 4,000-5,000 บาททีเดียว

สำหรับบรรยากาศทั่วไปนั้น ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวัดยังคงเข้มงวดกับการเข้า-ออกวัดเช่นเดิม มีการตั้งจุดตรวจประมาณ 7 แห่งโดยรอบ ในส่วนของสื่อมวลชนนั้นยังคงห้ามมิให้เข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด โดยมีการวิทยุสื่อสารติดต่อสั่งการโดยตลอด อาทิ ในช่วงที่ผู้สื่อข่าวจะขับรถเข้าไปในบริเวณวัดก็มีวิทยุสั่งการให้สกัดรถของผู้สื่อข่าว"เดลินิวส์" ไม่ให้เข้าไปทำข่าวภายในวัด นอกจากนี้ระหว่างที่จอดรถซุ่มดูอยู่ภายนอกวัด โดยใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์ในวัดปรากฎว่า มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดคล้ายปืนลูกซอง ทำให้ผู้สื่อข่าวต้องเคลื่อนรถออกจากบริเวณดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้น

ทางด้านนายทวีวัฒน์ ปุณริกวิวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชามนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวสนับสนุนการเสนอให้ถอดถอนปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของพระไชยบูลย์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะพระไชยบูลย์มีแนวคิดออกนอกลู่นอกทางของพระพุทธศาสนา อย่างที่ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเช่น พระธรรมปิฎก และน.พ.ประเวศ วะสี ชี้ไว้นั้นถูกต้องแล้ว รวมทั้งพระไชยบูลย์ยังออกนอกลู่นอกทางเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ เอาบุญและอิทธิปาฏิหารย์เป็นตัวล่อ เป็นพฤติกรรมของบุคคลที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตัวในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

"พระไชยบูลย์เอาพระพุทธศาสนามมาเป็นข้ออ้าง เพื่อทำตามทิฐิหรือความเห็นส่วนตัวและแสวงหาผลประโยชน์ จึงเห็นด้วยที่จะเรียกร้องในเรื่องนี้และน่าจะกระทำได้ เพราะบางครั้งการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตเราพิจารณาจากชื่อเสียงภายนอกที่มองเห็น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏชัดในสังคม สถาบันที่มอบปริญญาก็มีสิทธิ์จะขอปริญญาคืน เพราะปริญญานี้มอบให้กับผู้ที่ทำประโยชน์เท่านั้น"

ส่วนที่มีข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงของกรมการศาสนาบางคนหวั่นเกรงอิทธิพลของพระผู้ใหญ่บางรูป ทำให้ไม่สามารถจัดการปัญหาของวัดพระธรรมกายได้อย่างเด็ดขาดนั้น นายทวีวัฒน์กล่าวว่า มองในมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจ แต่อีกมุมหนึ่งเห็นว่าข้าราชการน่าจะทำหน้าที่โดยยึดหลักความถูกต้องมากกว่าเกรงกลัวอิทธิพล ถ้าอยู่ในตำแหน่งแล้วทำหน้าที่อย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ธรรมย่อมต้องคุ้มครอง และสังคมจะอยู่ข้างคนที่ปกป้องพระพุทธศาสนา

ต่อกรณีเดียวกันนี้ นายอำนาจ บัวศิริ นักวิชาการระดับ 8 กรมการศาสนา กล่าวปฏิเสธว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะเท่าที่ได้สัมผัสกับพระผู้ใหญ่ท่านจะไม่เข้ามาก้าวก่ายในเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าเรื่องการฝากฝังให้เข้าทำงานในตำแหน่งต่างๆนั้นอาจจะมีบ้าง แต่ถ้าถึงกับใช้อิทธิพลไปสั่งโยกย้ายเชื่อว่าไม่มีอย่างแน่นอน

นายอำนาจกล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่มีการระบุว่าการทำงานของกรมการศาสนาค่อนข้างลำบากเพราะมีนาย 2 คนนั้น เรามีนาย 2 คนจริง แต่กรมการศาสนามีหน้าที่ประสานระหว่างคณะสงฆ์ และฝ่ายบ้านเมืองให้ดำเนินการไปอย่างสอดคล้องกัน ไม่ใช่ว่ามีนาย 2 คนแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว และโดยส่วนตัวก็เห็นว่าการทำงานไม่ได้ยากลำบากอะไร

"ผมว่าคนให้ข่าวเขาเข้าใจผิด อาจจะไม่ได้สัมผัสงานของกรมการสาสนาอย่างแท้จริง พระผู้ใหญ่ไม่เคยอยากจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายบ้านเมือง เราอาจจะเกิดความลำบากใจบ่างในสิ่งที่มีการพิจารณาแล้ว ไม่ตรงกับใจหลายคนจึงถูกมองว่าทำงานกันไม่ได้เต็มที่ จริงๆแล้วการพิจารณาของฝ่ายสงฆ์ค่อนข้างจะรอบคอบมีรายละเอียดพอสมควร"

นายอำนาจได้กล่าวถึงการเปรียบเทียยกรณีการจัดการพระสงฆ์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีพระยันตระกับพระผู้ใหญ่ในวัดพระธรรมกายว่า เป็นความจริงที่ปฏิบัติไม่เหมือนกัน เพราะกรณีของพระยันตระนั้นมีหลักฐานและผู้เสียหายร้องเรียนชัดเจน แต่กรณีของวัดพระธรรมกายนั้นมีหลักฐานไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตามต้องติดตามการปฏิบัติของวัดพระธรรมกายตามมติของมหาเถรสมาคมด้วย ซึ่งทางกรมการศาสนาจะเข้าพบกับพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 หลังเทศกาลสงกรานต์เพื่อสอบถามว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือบ้าง

ส่วนกรณีการถอดถอนปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของพระไชยบูลย์ ธัมมชโย และพระทัตตชีโวนั้น นายอำนาจกล่าวว่า เป็นอำนาจและสิทธิที่ทางมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยสามารถดำเนินการได้ หากพิจารณาแล้วมีเหตุผลเพียงพอว่าทั้ง 2 รูปประพฤติตัวไม่เหมาะสมจริง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนแม้แต่มหาวิทยาลัยในทางโลกก็ตาม เพราะก่อนที่จะมีการมอบปริญญานั้นได้มีการพิจารณากรั่นกรองหลายขั้นตอนแล้ว