page4

เดลินิวส์ 23/3/2542

มหาเถรฯหัก กมธ.'ธรรมกาย'ไม่ผิด

มหาเถรฯลงมติไม่คาดฝัน ชี้ขาดปัญหาธรรมกายให้เดินตามแนวพระพรหมโมลีเสนอ ไม่มีแม้คำตัดสินนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา เพียงให้เจ้าคณะภาค 1 ไปดูแลตั้งสำนักวิปัสสนา เรียนพระอภิธรรม ทำตามมติมหาเถรฯ สำรวมในพระธรรมวินัย เลิกหมดคำสั่งเดิม ที่ให้เอาข้อมูลกรรมาธิการศาสนา มาพิจารณาระบุไม่มีมูล ส่งเสริมธรรมกาย มีงานใหญ๋โตกว้างขวาง ต้องให้เดินต่อไป ขืนฟันฉับอาจเกิดม็อบ นับแสนยุติกรณีทางธรรมโดยสิ้นเชิง พระนักวิชาการโวยมวยล้ม ไม่มีประเด็นใหม่ เห็นแก่ตัวบุคคล-สักการะเป็นหลัก เรียกร้องชาวบ้านถามหาความถูกต้อง จี้รัฐบาลปกป้องศาสนา ขณะที่ คดีทางโลก นักธุรกิจขายเครื่องไฟฟ้าร้องตำรวจภาค 1 จัดการฐานหลอกให้ซื้อพระดูดทรัพย์

เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่าการประชุมมหาเถรสมาคมในวันที่ 26 มี.ค.นี้คาดว่า จะมีข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกายอย่างชัดเจน โดยกรมการศาสนา จะรวบรวมข้อมูล ทั้งจากของคณะกรรมการ รวบรวมข้อมูลชุดกระทรวงศึกษาธิการ และของกรรมาธิการ การศาสนา เสนอให้กรรมการมหาเถรฯ ทุกรูปก่อนวันประชุม เป็นไปตามมติ ที่ประชุมครั้งก่อน โดยประเด็นท ี่กรมการศาสนาจัดทำขึ้น จะมากกว่า 4 เรื่องที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 สรุปไว้

รายงานข่าว จากกรมการศาสนา เปิดเผยเพิ่มเติมว่าประเด็นที่มหาเถรฯต้องพิจารณาอย่างรอบคอบมี 2 เรื่องคือคำสอน ที่มีการเสนอแก้ปัญหาเข้า ที่ประชุมมหาเถรฯให้วัดเพิ่มการวิปัสสนาเข้าไป ซึ่งถ้ามีมติเช่นนี้จริงเท่ากับ มหาเถรฯยอมรับสมาธิ แนวธรรมกายถูกต้อง เพียงแต่เสริมบางอย่างเข้าไป มหาเถรฯจึงจำเป็น ต้องชี้ผิดชี้ถูกก่อน หากผิดต้องแก้ไข ไม่ใช่บอกแค่ให้เพิ่มเติม หรือต่อยอดเสมือนกับ เป็นการยอมรับ วิชาธรรมกาย ทั้งที่ความจริงวิชาธรรมกาย เป็นการเพ่งลูกแก้วให้เกิดนิมิต ไม่ใช่วิปัสสนาที่สอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนันตา ความไม่เที่ยง

อีกประเด็น คือหลวงพ่อสด จันทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายบวชแบบมหายานหรือเถรวาถ เพราะหากเป็นมหายาน ก็สามารถสอนว่าพบพระพุทธเจ้าได้ แต่ตามพระไตรปิฎกไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย หากวัดพระธรรมกาย มีความคิด แบบมหายานก็ต้องไปบวชแบบมหายาน ไม่ใช่บวชแบบเถรวาทเหมือนในขณะนี้

ส่วนพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย)เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะผิดถึงขั้นปาราชิกต้องจับสึก ข้อหาอวดอุตริมนุสสธรรม หรืออวดธรรมวิเศษ ที่ไม่มีในตัวหรือไม่ อยู่ที่พระไชยบูลย์ หากเจตนาอวด ก็ถึงขั้นปาราชิก แต่ถ้าเข้าใจผิดในตัวเอง ก็ไม่ปาราชิก แต่การนำเอา สิ่งที่ตัวเองรู้มาเผยแพร่หรือถ่ายทอดก็ถือว่าอาบัติด้วย

ขณะเดียวกันที่วัดลาดสนุ่น ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เมื่อเวลา 08.30 น. พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ได้เดินทางมาเป็นประธาน ในพิธีเปิดและปฐมนิเทศการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส จำนวน 223 รูป จาก 155 วัด ภายใน จ.ปทุมธานี พระของวัดพระธรรมกาย ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งน ี้ ได้แก่พระไชยบูลย์ , พระภาวนาวิริยะคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสอีก 6 รูป โดยพระไชยบูลย์เดินทางมาด้วยรถเบนซ์ 500 สีตะกั่ว มีพระเลขาฯนั่งขนาบ ตามด้วยรถอีก 1 คันคล้ายกับรถคุ้มกัน บุคคลสำคัญ จากนั้นเป็นรถโฟล์คตู้สีเทาดำ ซึ่งพระเผด็จนั่งมา พร้อมกับพระรูปอื่นๆ เมื่อมาถึง ที่ประชุมพระไชยบูลย์เข้าไปนั่งที่โซฟา แถบเดียวกับเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบล

บรรยากาศการประชุม เป็นไปด้วยความอึดอัดตลอด ขณะที่บรรดาสาวก ของวัดพระธรรมกาย ได้พยายามกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปทำข่าวและบันทึกภาพ เมื่อใกล้เวลาฉันเพล พระไชยบูลย์ก็ได้ขอตัวกลับก่อน โดยอ้างว่าสุขภาพไม่ดี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ทิ้งให้พระเผด็จอยู่ฉันท์โดยไม่มีการให้สัมภาษณ์ใดๆ และพระจากวัดพระธรรมกายทั้งหมด ก็กลับวัด ไปก่อนการประชุมประจำวันจะเสร็จสิ้น แต่ระหว่าง ที่พระไชยบูลย์จะกลับรปภ.ของวัดพระธรรมกาย ฉุดกระชากผู้สื่อข่าวที่จะเข้าไปสัมภาษณ์พระไชยบูลย์ และง้างหมัดทำท่าจะชกจนมีปากเสียงกัน

ด้านพระครูโสภณ พิทักษ์ เจ้าอาวาสวัดโสภาราม เจ้าคณะอำเภอเมืองปทุมธานี กล่าวว่า ในที่ประชุมไม่ได้มีการนำเรื่อง วัดพระธรรมกายมาพูดกัน แต่ที่ผ่านมา พระราชวุฒิเมธี มื่อครั้งยังเป็นเจ้าคณะจังหวัด ก่อนที่จะถูกมหาเถรฯ ปลดออกในข้อหา ไม่สนองนโยบาย ได้เคยเข้าไปตรวจสอบวัดพระธรรมกาย พบว่ามีการสอน และดำเนินกิจกรรม ผิดจากหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า รวมทั้งมีการสร้างโบสถ์ที่ผิดรูปแบบ ซึ่งก็ได้ห้ามปรามว่ากล่าวตักเตือน แต่ทางวัดพระธรรมกาย ไม่เชื่อฟัง การก่อสร้าง ทางวัดก็อ้างว่าเป็นรูปทรงที่เรียบง่าย ง่ายต่อการบำรุงรักษา ส่วนที่มหาเถรสมาคม ได้มอบหมาย ให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ดำเนินการพิจารณาข้อกล่าววัดพระธรรมกายนั้น ก็สืบเนื่องจากที่ผ่านมา สายปกครองในท้องที่ไม่ดำเนินการ เจ้าคณะภาคจึงได้ลงมาเอง

ในวันเดียวกัน เวลา 15.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบัญชาการตำรวจภาค 1 ว่านายพิบูลย์ พงษ์พานิชย์ นักธุรกิจ ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า เข้าร้องเรียน แจ้งความถึงปัญหาการทำบุญกับวัดพระธรรมกาย โดยพล.ต.ต.สมใจ โพดาพล ผู้ช่วยผบ.ภ. 1 กล่าวว่าการแจ้งความ ของนายพิบูลย์ตน และพนักงานรับเรื่องแล้ว จากนั้น ขั้นต่อไปส่งให้พ.ต.ท.ขจร เพชรชุมชน รองผกก.สืบสวนเป็นผู้สอบปากคำเบื้องต้น

หลังจากนั้นตำรวจภาค 1 จะส่งสำนวนไปยังท้องที่เกิดเหตุ คือสภ.อคลวงอคลวง โดยพนักงานสอบสวน จะตรวจสอบเอกสารทั้งหมด เพื่อพิจารณาว่าสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้หรือไม่ หากแจ้งได้จะเป็นข้อหาฉ้อโกง ในมาตรา 341 เป็นการฉ้อโกงบุคคลธรรมดา เพียงบุคคลเพียงคนดียว แต่มาตรานี้ยอมความกันได้ ถ้าวัดจ่ายเงินคืนก็จบ แต่หากมีการแจ้งความ ในลักษณะเดียวกันอีก จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 342 ฉ้อโกงคนทั่วไป และเป็นอาญาแผ่นดินยอมความไม่ได้

"เจ้าหน้าที่สภ.อ.คลองหลวงจะเรียกบุคคลทั้งหมดมีชื่อในใบอนุโมทนา ทั้งผู้เสียหาย เจ้าอาวาส หรือพระที่ลงนาม ในใบอนุโมทนาบัตรไปสอบปากคำก่อน

ก่อนหน้าการแจ้งความครั้งนี้ นายพิบูลย์ พงษ์พานิชย์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตนทำธุรกิจด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ถูกชักชวนเข้าทำบุญที่วัด โดยอ้างถึงเรื่องบารมี ต้องทุ่มสุดตัว ทำบุญมากถึงจะมีบารมีมาก พยายามฝังหัวให้เชื่อ อย่าสงสัย โดยไปอยู่ในกลุ่มแก้วสัมพันธ์ มีสีกาคนสนิท พระไชยบูลย์เป็นผู้นำบุญและเป็นวิทยากรหลัก การทำบุญจะถูกเกลี่ยกล่อม หากทำในนามของพระไชยบูลย์ หรือแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง จะได้บุญมาก เวลาไปติดต่องาน เจรจากับผู้ใหญ่ แล้วบอกว่าเป็นลูกศิษย์ พระไชยบูลย์เป็นหลานแม่ชีจันทร์จะทำให้ผู้ใหญ่เกรงใจ จะสัมฤทธิ์ผลเป็นอัศจรรย์ หรือเวลาตายไป เกิดตกนรก หรือขึ้นสวรรค ์อ้างได้เลยว่ารู้จักกับหลวงพ่อและคุณยายอาจารย์ จะได้รับสิทธิพิเศษกว่าคนอื่น

"ผมจะได้รับการชี้นำ ชัดเจนว่า เป็นลูกหลวงพ่อทำไมไม่ทุ่มสุดตัว ต้องทำได้ทุกอย่าง ถ้าไม่มีก็เอาบัตรเครดิตไปรูดก่อน หรือเขียนเช็คล่วงหน้ามา ทำให้ผมทำบุญพระธรรมกายประจำกาย 4 องค์เป็นชื่อลูก 4 คน นอกจากนั้นภรรยายังทำอีก 2 องค์ใส่ชื่อพระไชยบูลย ์และแม่ชีจันทร์ จากนั้นไม่นาน ก็มีการติดต่อเข้ามา โดยบอกว่ามีของดีเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่ง และมีจำกัดต้องทำบุญสร้าง พระธรรมกายประจำตัว 30,000 บาท และจะได้มหาสิริราชธาตุไปครอบครอง ต้องรีบแย่งกันทำเดี๋ยวหมด อดได้ของดี ตอนหลังราคาพระมหาสิริราชธาตุลดลง องค์ละ 10,000 บาท "

ลูกศิษย์วัดบางคน ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนดอยก็มาเล่าให้ฟังว่า มีการคุยวงในพระไชยบูลย์เป็นพระพุทธเจ้ามาโปรด เป็นองค์สุดท้าย จะเกิดน้ำท่วม คนของวัดจะรอดคนที่ไม่เชื่อจะตายหมด สอนให้เชื่อฝังหัวเช่นพ่อแม่มีบุญคุณแค่ทำให้เกิด ส่วนพระไชยบูลย์-แม่ชีจันทร์ มีบุญคุณมากกว่าเพราะเป็นผู้ที่ทำให้เข้าถึงธรรม

นายพิบูลย์กล่าวอีกว่ บุญสำคัญ ที่วัดกำลังตั้งเป้าดูดเงินคือการเป็นประธานรองฉลองมหาธรรมกายเจดีย์ในปี 2543 โดยเปิดให้ผ่อนเงินคนละ 1 ล้านบาทตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทำให้ตนถามว่า เมื่อธรรมกายเจดีย์เสร็จ ทำไมต้องใช้เงินมากมหาศาล ถ้าตั้งเป้าหาประธานรอง 2,000 คน เท่ากับเป็น 20,000 ล้านบาท และที่ตนรับไม่ได ้คือการเข้าวัดหลังสุด พระไชยบูลย์เทศน์ว่าใครมีบ้านให้ขายบ้าน ใครมีรถให้ขายรถ แล้วก็มาเป็นประธานรองกัน เพราะบุญกุศลครั้งนี้ ใหญ่หลวงนัก การเทศน์วันนั้นตกตอนเย็นก็เกิดเหตุการณ์ตะวันแก้วขึ้นมา

"เมื่อผมเริ่มสงสัยมากขึ้น ก็บอกว่าผมถูกมารเข้าสิง หลงผิด มารบังคับให้พูด และจะโทรมาถามเสมอว่าดีขึ้นไหม ถ้าดีขึ้นก็เพราะ บุญที่ทำไว้กับวัด แถมยังมีการชักชวนเข้าร่วมโครงการบุญตลอดชีพ หรือบุญเศรษฐีถาวร โดยให้บริจาคเงิน ให้วัดเดือนละ 1,000 บาท แต่ผมก็เลิกเข้าวัดแล้ว"

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันเวลา 15.30 น.เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมีการเรียกประชุมด่วน มหาเถรสมาคมนัดพิเศษ โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง และเวลา 18.00น. นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยภายหลังว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ ตามที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ให้คำแนะนำทั้ง 4 ประการ ซึ่งทางวัดพระธรรมกาย ตอบรับปฏิบัติตาม เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว และจะให้พระพรหมโมลีดูแลสั่งการตามหนังสือตอนรับอย่างเคร่งครัด

ส่วนกรณีอื่นๆ ของวัดอาทิ การเรี่ยไร ก็ให้เจ้าคณะภาค 1 สั่งการให้ปฏิบัติ ตามระเบียบมหาเถรและกฎหมายบ้านเมือง นอกจากนั้น ยังให้วัดทุกวัด ภิกษุ สามเณร ปฏิบัติใน 2 ประการต่อไปนี้ ได้แก่การเรียนการสอน พระธรรมวินัย ให้ยึดตามหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรจนา และทรงกำหนดตามหลักสูตร นักธรรม และธรรมศึกษาชั้น ตรี โท เอก ,การปฏิบัติพระกรรมฐาน ให้ปฏิบัติตามหลัก ในมหาสติปัฏฐานสูตร โดยให้เจ้าคณะ ทุกระดับ คอยสอดส่องดูแลตามอำนาจหน้าที่ และให้เจ้าคณะจังหวัดจัดตั้ง สำนักปฏิบัติธรรม ตามมติมหาเถรทุกจังหวัด โดยให้กรมการศาสนา แจังให้เจ้าคณะทุกจังหวัดปฏิบัติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำตอบรับในการปรับปรุงแก้ไขวัดพระธรรมกายตามคำแนะนำของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ที่เสนอ และพระไชยบูลย์ ตอบรับจะปฏิบัติได้แก่ 1.วัดพระธรรมยขาดความร ู้ความเข้าด้านพระปริยัติไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดปัญหา การสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โต การบริจาค อิทธิปาฎิหารย์ ซึ่งควรให้วัดตั้งสถานศึกษาพระอภิธรรม เพื่อเพิ่มศัยภาพด้นคันถธุรของวัดให้สูงขึ้น

2.วัดพระธรรมกาย มีความรู้ความเข้าใจการปฏิบัติไม่สมบูรณ์� เมื่ออ้างถึงพระนิพพานจึงไม่ตรงกับที่ ปรากฎในพระไตรปิฎก จึงจะให้วัด ตั้งสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์�ซึ่งพระไชยบูลย์ยอมรับให้มี
การปฏิบัติบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน

3.ให้วัดพระธรรมกาย สำรวมระวังในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพราะว่าวัดพระธรรมกาย มีกิจกรรมการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา มากมายหลายด้าน เป็นที่จับตามองของสาธารณชนในวงกว้าง จึงต้องสำรวมระวัง และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเป็นพิเศษ

4.ให้วัดพระธรรมกาย ปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยเคร่งครัดเป็นพิเศษ ทั้งนี้ เพื่อความเรียบร้อย ดีงามของวัดและพระพุทธศาสนา เพราะวัดมีงาน ต้องฝ่าฝัน ที่เริ่มต้นไว ้เป็นประโยชน์ต่อศาสนา ล้วนแต่เป็นงานใหญ่โต จึงต้องดำเนินการให้ถูกต้อง

พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวถึงคำตัดสิน ของมหาเถรสมาคม กรณีวัดพระธรรมกายว่า ถ้าตัดสินเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นมวยล้ม เพราะไม่มีประเด็นอะไรแปลกใหม่เลย ซึ่งก็มีข่าว มาตั้งแต่แรกแล้วว่า คำตัดสินจะต้องเป็นเช่นนี้ การตัดสินเช่นนี้ทำให้สถาบันสงฆ์ดูไม่มีความหมายอะไรเลย

"สถาบันสงฆ์ ถือเป็น 1 ใน 3 ของสถาบันสูงสุดของชาติ พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ 21 รูปที่เป็นกรรมการมหาเถรฯ องค์กรสูงสุดของสงฆ์ มีหน้าที่ต้องปกป้อง คุ้มครองพระพุทธศาสนาและพระธรรมวินัย แต่เมื่อพระวินัยถูกย่ำยี แล้วไม่ทำตามหน้าที่ ถือว่าละเลย สถาบันสงฆ์ก็คงต้องหมดความหมาย เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาได ้ก็ไม่มีความหมาย มหาเถรฯมีความจงใจ ที่จะปกป้องกันเอาไว้ ไม่เห็นแก่พระพุทธศานา พระธรรมวินัย และความถูกต้อง เห็นแก่ตัวบุคคล สักการะเป็นเรื่องหลัก"

พระมหาบุญถึง กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะต้องให้ความคุ้มครองปกปักรักษาพระพุทธศาสนาตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่ประชาชน ควรจะออกมาเรียกร้อง สอบถามความถูกต้องในฐานะเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า พระพุทธศานา จะอยู่รอดได้ ก็ต้องมีอุบาสก-อุบาสิกาคอยปกป้องด้วย ไม่ใช่มีแค่พระสงฆ์อย่างเดียว

"ตอนนี้ทางมหาจุฬาฯ ก็ได้ส่งพระนิสิตไปทั่วประเทศจำนวนกว่า 4,000 รูป มอบหมายให้ไปชี้แจง กับชาวพุทธทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าใจ พระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำบุญ อภินิหาร การฝึกปฏิบัติสมาธิ และเรื่องหลักธรรม เช่นเรื่องที่วัดพระธรรมกาย บอกว่านิพพานเป็นอัตตานั้นผิดเพี้ยน"

นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังรับทราบ มติมหาเถรฯว่าเชื่อว่าประชาชนจะยอมรับมติมหาเถรฯเพราะถือเป็นองค์กรสูงสุดด้านสงฆ์ กรณีวัดพระธรรมกาย เป็นกรณีตัวอย่างที่ดำเนินกิจกรรมหลายอย่างผิดแปลกไปจากพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และวันข้างหน้า คงไม่มีโอกาสที่จะเกิดเช่นนี้อีก ประชาชนรู้เรื่องศาสนามากขึ้น องค์กรต่าง ๆ พระสงฆ์ที่เป็นผู้รู้ รวมทั้งสื่อมวลชน คงไม่ปล่อยปละละเลย ให้วัดพระธรรมกายเผยแพร่พุทธศาสนาผิดเพี้ยนจากหลักคำสอนในพระไตรปิฎกอีก ส่วนเรื่องการถือครองที่ดิน มติมหาเถรสมาคม ในวันนี้ก็ครอบคลุมหมดแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ในการแจ้งความดำเนินคดีเป็นเรื่องของบ้านเมือง

แหล่งข่าวซึ่งเป็นพระชั้นผู้ใหญ ่และกรรมการมหาเถรฯรูปหนึ่ง เปิดเผยภายหลังการพิจารณาตัดสินกรณีวัดพระธรรมกายว่า การประชุมครั้งนี้ นัดกันตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.แล้วจะพิจารณาวาระพิเศษวันนี้ ซึ่งเป็นที่สังเกตุว่า กรรมการมหาเถรฯ ฝ่ายมหานิกายหลายรูป ไม่ได้มาร่วมประชุมด้วย เช่น พระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตรฯ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง

ที่ประชุมได้นำเอาข้อเสนอ ของกรรมการมหาเถรฯแต่ละรูปที่เสนอไว้ก่อนหน้านี้มาอ่านให้กรรมการทุกรูปรับทราบ ในส่วนของ สมเด็จพระมหาธีราจารย ์แม้ไม่ได้มาร่วมประชุมแต่ก็ได้เขียนข้อเสนอฝากมายาว 1 หน้าครึ่ง ความคิดเห็นส่วนใหญ่ จะมีเนื้อหาสาระ มีประเด็นใกล้เคียงกันกับข้อตกลงเจ้าคณะภาค 1 ที่ทำไว้กับพระไชยบูลย์ ดังนั้นทางมหาเถรฯจึงมีมติแบบรอมชอบ และแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ให้ดำเนินการตามที่เจ้าคณะภาค 1 ตกลงไว้ แต่ก็ต้องเน้นย้ำให้เจ้าคณะภาค 1 ติดตามดูแลให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด

เรื่องข้อมูล ที่กรรมาธิการการศาสนาฯ เสนอมา กรรมการมหาเถรฯบางรูปอภิปรายว่าใช้เป็นหลักฐานพิจารณาลงโทษไม่ได้ เรื่องที่ดินทางคณะสงฆ์เห็นว่า คงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะไปเอาผิดได้ ควรจะมอบให้กระทรวงมหาดไทยเข้าไปดำเนินการ ส่วนเรื่องของมาตุคาม หรือบุคคลที่ 3 ที่มีการกล่าวหาก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้เนื่องจากไม่มีผู้กล่าวโทษ กรรมการมหาเถรฯ บางรูป เห็นว่าถือเป็นเรื่องที่ดีที่มหาเถรฯไม่ตัดสินเรื่องนี้อย่างชี้ชัด เพราะเมื่อผลออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง คงต้องเกิดข้อพิพาท และเกิดปัญหามวลชนนับหมื่นนับแสนคนที่ไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่ว่าฝ่ายสนับสนุน หรือฝ่ายต่อต้านวัดพระธรรมกายจะชนะก็ตาม

"ข้อสรุปของมหาเถรฯในครั้งนี้ ถือเป็นการสิ้นสุด ถ้าวัดพระธรรมกายไม่ปฏิบัติตามก็จะถือว่าผิดพระธรรมวินัย ผิดหลักการปกครองสงฆ์ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีกรรมการมหาเถรฯบางรูปที่ยังไม่พอใจผลสรุป และทางมหาเถรฯ ต้องรับฟัง ปัญหาหลังการตัดสินด้วยว่ามวลชนทั้ง 2 ฝ่ายจะพอใจหรือไม่ ซึ่งที่สุดแล้ว หากผลตัดสินยังไม่สามารถทำให้เรื่องจบได้ ก็อาจต้องหาวิธีการอื่นมาจัดการอีกครั้ง"

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า กรรมการมหาเถรฯบางรูปสนิทกับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เรื่องนี้ก็มีการนำมาพูดเช่นกัน ทางมหาเถรฯ ไม่มีกระบอกเสียง จะชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ จึงขอให้กรมการศาสนา ไปชี้แจงแทนว่าความจริงแล้ว สงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ เมื่อวัดพระธรรมกายเชิญไปร่วมงานแจกพัด แจกทุนท่านก็ต้องไป

รายงานข่าวแจ้งว่า การพิจารณาตัดสินกรณีวัดพระธรรมกายในครั้งนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงรับฟังความคิดเห็นของกรรมการมหาเถรฯรูปต่างๆอย่างสงบนิ่ง โดยมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ