เดลินิวส์ 22/3/2542

พุทธสมาคมระบุธรรมกายภัยร้าย

พุทธสมาคมประกาศ ไม่ไว้วางใจคณะสงฆ์ ระบุ"ธรรมกาย "เป็นภัยร้ายแรงของศาสนาถึงขั้นวิกฤติต้องเร่งจัดการ วางแผนแทรกซึมลึกขนาดตีสนิทกับมหาเถรฯ 4-5 รูป"เกี่ยว"ด้วยผลประโยชน์ ล็อบบี้ไม่ให้ถูกเล่นงาน รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าให้พระพรหมโมลีจัดการไม่มีทางสำเร็จ หน่วยงานความมั่นคงส่งข้อมูลให้ตลอด กระทบความมั่นคง ยิ่งกว่าสันติอโศก ส่งสายลับแทรกเข้ามาองค์การพุทธหวังยึดขยายสาขาทั่วประเทศ ต้องจัดการเด็ดขาดประชุมสังฆาธิการทั่วประเทศ ปลดพระทุกรูปออกจากวัดไม่เช่นนั้นรัฐบาลต้องจัดการ เจ้าหน้าที่วัดฉาวหมอซ่า หยุดความก้าวร้าวแถมปิดปากสนิทเรื่องผู้มาปฎิบัติธรรมโหรงเหรง

นายสมพร เทพสิทธา สมาชิกวุฒิสภาและอุปนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ประธานสภา
ยุวพุทธสมาคมแห่งชาติ
กล่าวถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาว่า ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ที่น่าเป็นห่วงมาก เกี่ยวกับเรื่องชาวพุทธที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่ปรากฏว่าชาวพุทธจำนวนมากไม่ได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีหลายคน ที่ยังไม่รู้เรื่องหลักธรรมพระพุทธศาสนาว่าที่แท้จริงนั้น เป็นอย่างไรอยู่ เป็นผู้หลับ-มัวเมา ขนาดไม่รู้ถึงภัยร้ายของพุทธศาสนาที่กำลังจะเกิด ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดกรณีของวัดพระธรรมกาย

การสอนให้ทำบุญ ของวัดพระธรรมกายขัดกับหลักศาสนาที่เน้นการรักษาศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา การทำบุญให้ทาน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า "ให้มากยิ่งได้บุญมาก" โดยทรงตรัสว่า บุญจะได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการคือ เจตนา ถ้าบริสุทธิ์ก็ได้บุญมาก หากเจตนาไม่บริสุทธิ์หวังผลตอบแทนก็ได้บุญน้อย ทานที่ให้ ต้องบริสุทธิ์ ไม่ใช่จากการลักทรัพย์หรือโกง และหากผู้รับเป็นผู้ทรงศีล ปฏิบัติธรรม ก็ได้บุญมาก หากไม่ใช่ก็ได้น้อย พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า บุญที่ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวเงินเป็นหลัก

"น่าเสียใจ ที่ชาวพุทธเราจำนวนมากที่หลงผิด ไปเชื่อคำโฆษณาของวัดพระธรรมกาย ทั้งที่หลายคนเป็นผู้มีความรู้สูง แต่สูงในทางโลก แต่ในทางธรรมกลับกันปัญญาไม่มีเลย ความจริง ผมกับเจ้าอาวาสรู้จักกันดี สมัยตั้งแต่เจ้าอาวาสที่เรียนสวนกุหลาบ จากนั้นเมื่อตั้ง วัดผมเคยเข้าไปที่วัดนี้ครั้งหนึ่งไปสนทนากับเจ้าอาวาส ตอนนั้นยังสอน และปฏิบัติดีแต่ไปๆมาๆ เริ่มรู้เรื่องราวความไม่ถูกต้อง ความยิ่งใหญ่การเรี่ยไรบุญที่ไม่มีวันหยุด" นายสมพรกล่าวอีกว่า ตนได้ติดตามเรื่องของวัดพระธรรมกายมานานแล้ว และมีเอกสารลับส่งมา 2 ฉบับจากหน่วยงานความมั่นคง สรุปว่า กรณีสันติอโศกไม่น่ากลัวเท่ากรณีวัดพระธรรมกาย เพราะกรณีสันติอโศกเปิดเผยตัว แต่วัดพระธรรมกายไม่ได้เปิดเผยว่าไม่ใช่พุทธ

"เขาฉลาดบอกว่าเป็นพุทธ ทั้งที่เป็นลัทธิ เมื่อผมรู้ข้อมูลก็ไม่เคยคิดจะเข้าวัดนี้อีกเลย ดังนั้นขอฟันธง ว่าวัดพระธรรมกายผิดแน่นอน ที่เอาบุญมาขายเป็นสินค้า พระพุทธเจ้า ไม่เคยเอาบุญมาขายเป็นสินค้า บุญต้องทำจากจิตใจที่บริสุทธิ์ เพื่อบุญที่ได้จะนำมาชำระกิเลส ความดีต้องชนะกิเลส ไม่ใช่ทำบุญเพื่อเพิ่มกิเลส ไปสวรรค์ กิเลสทั้งนั้น อย่างพระธัมมชโยสอน ท่านขายบุญ หวังผล นำไปสร้างธรรมกายเจดีย์ ทั้งที่มติมหาเถรสมาคมก็บอกว่าในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ควรระงับการก่อสร้าง เพื่อจะได ้ไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝ่าฝืนมติของมหาเถรฯ"

นายสมพรกล่าวต่อไปว่า ตนเคยหารือกับอุปนายกพุทธสมาคมฯซึ่งรับรู้เรื่องนี้ดี เพื่อคิดหาวิธีแก้ไข และเมื่อครั้งมหาเถรสมาคมมอบอำนาจให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ตัดสิน ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางสำเร็จแน่ วิธีการแก้ปัญหา ต้องจัดการแก้ไขปัญหาเหมือนสันติอโศก คือสมเด็จพระสังฆราชเรียกประชุมสังฆาธิการ คือคณะสงฆ์ปกครอง ตั้งแต่ระดับสมเด็จพระราชาคณะลงไปถึงผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด แล้วลงมติปลดพระในวัดพระธรรมกายทุกรูปที่รู้ถึง
พฤติกรรมและกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม

"ปัญหาธรรมกาย นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เรารู้ด้วยว่า วัดพระธรรมกายแทรกซึม มีความสนิทสนมกับพระผู้ใหญ่ในมหาเถรฯ 4-5 รูป มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง มาคอยกำกับ และล็อบบี้มหาเถรฯบางรูป ขอประกาศว่า ผมไม่ไว้วางใจคณะสงฆ์แล้ว ต้องมีกฎหมาย และพวกเราต้องร่วมมือร่วมใจช่วยเมื่อพุทธศาสนามีภัยร้ายแรงมา กล้ำกราย"

นายสมพรยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ ทราบว่าทางวัดพระธรรมกาย ได้ส่งคนเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อแทรกซึมในหน่วยงานที่พุทธสมาคมดูแลอยู่ เพื่อต้องการที่จะขยายงานของวัดพระธรรมกาย จุดประสงค์ต้องการครอบครองสาขาทั่วประเทศ เปิดการเรี่ยไรเงินจากประชาชนในจังหวัดนั้น ๆ มิได้นำเข้าพุทธสมาคม แต่นำเข้าวัดพระธรรมกาย โดยใช้ตำแหน่งของ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย"บังหน้าเป็นใบผ่านทาง รวมถึงออกหนังสือให้ส่วนราชการเช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าฯ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ในจังหวัด เอื้อประโยชน์ให้

อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวยังไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลกันหมดแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล ต่อไปนี้ต้องยอมรับแล้วว่าลำพังคณะสงฆ์ไม่สามารถ
แก้ปัญหาพุทธศาสนาได้ รัฐบาลต้องช่วยจัดการและเป็นตัวจักรสำคัญ

นายสมพรกล่าวด้วยว่า ขณะนี้กำลังปรึกษากันภายใน เกี่ยวกับคนของวัดพระธรรมกาย ที่แทรกซึมเข้ามาว่าจะดำเนินการอย่างไร และรู้ชื่อหมดแล้วว่ามีใครบ้าง โดยขนาด ที่เคยเป็นประธานรองจัดงานบุญของวัดพระธรรมกาย และเกือบจะตั้งให้คน ๆ นี้เป็นประธานภาค แต่ตอนนี้คงไม่ตั้งอีกแล้ว เพราะรู้พฤติกรรมที่ไม่ดีหลายเรื่อง

"เราก็คอยเฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ตลอด พร้อมทั้งมีการระแวดระวัง-ป้องกันไม่ให้คนธรรมกาย
เข้ามาเป็นใหญ่และยึดศาสนาพุทธ โดยเฉพาะยุวพุทธสมาคมฯซึ่งเป็นกำลังสำคัญ จะไม่มีวันยอมให้ไอ้พวกลัทธิอื่นมาทำให้ศาสนาพุทธต้องเสื่อมสูญเป็นอันขาด"

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 21 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศภายในวัดพระธรรมกายนั้นเงียบเหงากว่าปกติมาก มีผู้มาปฏิบัติธรรมเพียง 2,000 คนเศษเท่านั้น นอกจากนี้อาการแข็งกร้าวของบรรดาเจ้าหน้าที่ของวัดก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เข้มงวดกับสื่อมวลชน สงบเสงี่ยม และปิดปากเงียบไม่ยอมอธิบายหรือวิพากษ์วิจารณ์บรรยากาศที่เกิดขึ้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงบางประการของวัดพระธรรมกาย

โดยการแสดงธรรมในครั้งนี้ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ ธัมมชโย ได้ลงแสดงธรรมเองที่สภาธรรมกายสากล ซึ่งเมื่อมาถึงบริเวณแสดงธรรม ก็ได้ให้บรรดาญาติโยมขอขมาลาโทษ เพื่อความบริสุทธิ์ จากนั้นก็เริ่มให้ผู้มาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ พร้อมทั้งบอกให้ทุกคนให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย การนั่งสมาธิครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น

จากนั้นพระธัมมชโยได้กล่าวว่า ในวันที่ 22 เม.ย.ซึ่งเป็นวันเกิดขึ้นตนเองนั้นจะมีงานบุญงานใหญ่อีกครั้ง ขอให้ทุกคนมาร่วมกัน เพราะวันนั้นจะเป็นวันประชุมบรรพชิตโลก ทางวัดได้ตั้งกองทุนภัตตาหารเพลพระที่คาดว่าจะมาร่วมในกิจกรรมราว 1 แสนรูปไว้กองทุนละ 500 บาท เชื่อว่าอยู่ในวิสัยที่ทุกคนจะร่วมกันทำบุญได้ และขอให้ไปชักชวนญาติพี่น้องมาร่วม
กันเยอะๆ อย่าไปหวาดหวั่นเสียงนกเสียงกา วิตกสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
เพราะเขาเหล่านั้นต้องการให้เราเกิด
ความหวั่นไหวในการสร้างบารมี ดังนั้นจึงไม่ควรไปสนใจหวั่นไหว

ทางด้านพระภาวนาวิริยคุณ หรือ ทัตตชีโว ได้แสดงธรรมเทศนาอีกครั้งภายหลังจากรับถวายภัตตาหารเพลแล้ว โดยบอกว่าในช่วงโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน ทางวัดพระธรรมกายได้จัดให้มีการอบรมธรรมทายาท อบรมให้เด็กลูกหลานเข้าใจทราบซึ้งถึงคุณพระรัตนตรัย ตลอดจนบิดามารดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งโครงการนี้ทางวัดได้ดำเนินการมาตลอด มีการอุปสมบทหมู่ จึงอยากให้ญาติโยมพาลูกหลานเข้าอบรมธรรมทายาทภาคฤดูร้อนครั้งนี้ด้วย เรื่องนี้ถือเป็นมรดกไทยที่ต้องรักษากันเอาไว้.