เดลินิวส์ 20/3/2542

มหาเถรฯเลื่อนอีกจัดการ"ธรรมกาย"

มหาเถรฯตีขลุมสั่งเลื่อนการพิจารณาโทษ "วัดธรรมกาย" หลังแตกประเด็นความเห็นในที่ประชุมเพียบกรมการศาสนา นำเรื่องกลับไปสรุปจากนั้นจะเสนอใหม่อีกครั้ง "พระมหาบุญถึง" สับแหลก เตือนให้ระวังความรู้สึกและศรัทธาประชาชนต่อ มหาเถรฯ ยืนยันให้เวลานานพอสมควรแล้ว นายอำเภอฮอดแฉ "มูลนิธิธรรมกายสาขา 2" อ้าง ขอใช้พื้นที่ป่าสร้างบ้านถวายเชื้อพระวงศ์ด้วย สุดท้ายต้องถอนป้ายในพระราชูปถัมภ์ออกเรียบร้อย ขณะที่ชาวบ้านคลองหลวงโวยถูกมูลนิธิสร้างกำแพงปิดทางเข้าออก เคยเข้าพบรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพื่อร้องเรียน แต่ได้รับ คำตอบต้องสร้างกลัวชาวบ้านเซ่อเดินให้รถชน

ปัญหาวัดพระธรรมกายได้มีการหยิบยกเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคมอีกครั้ง เพื่อหาทางออก หลังจากที่ยืดเยื้อยาวนานนับ 5 เดือน โดยเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศฯว่า การประชุมมหาเถรสมาคมเริ่มขึ้นเวลา 14.00 น. โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ หลังการประชุมนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนาเปิดเผยว่า ตามที่ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่แล้วมีมติให้กรรมการมหาเถรฯ ทุกรูปศึกษารายละเอียดข้อมูลปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 สรุปมาผนวกกับข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ และกรรมาธิการการศาสนานั้น การประชุมวันนี้กรรมการทุกรูปนำเสนอความเห็น ซึ่งจากข้อคิดเห็นของแต่ละรูปมีจำนวนมาก ดังนั้น กรมการศาสนาจึงขอนำข้อคิดเห็นทั้งหมดกลับไปรวบรวมเพื่อสรุป และจะนำมาเสนอเข้าที่ประชุมอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า กรรมการมหาเถรฯนั้นมาครบองค์ประชุม โดยระหว่างที่มีการประชุมอยู่นั้นมีประชาชนจำนวนมากมารอฟังคำตัดสิน เนื่องจากที่ผ่านมานั้น ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้มีลูกศิษย์วัดเดินทางมารอฟังคำตัดสินเช่นกัน เมื่อสื่อมวลชนเข้าไปสอบถามก็ได้รับคำตอบว่าเดินทางมาไหว้พระ จากนั้นก็มีการโต้เถียงกับสื่อมวลชนและกลุ่มนายวรัญชัย โชคชนะ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 คน ซึ่งบอกว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้นแค่พยายามชี้แนะพระธรรมที่ถูกต้องไม่ให้ประชาชนถูกหลอกต้มตุ๋นเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มอาจารย์จากโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ประมาณ 4-5 คนมารอฟังคำตัดสินเช่นกัน โดยอาจารย์จิตติมล อินทพันธุ์ อาจารย์สอนภาษาอังกฤษกล่าวว่า เดินทางมาเพื่อฟังคำตัดสินของมหาเถรฯ เนื่องจากได้ติดตามข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ที่สำคัญนายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาฯระบุว่าจะมีการชี้ชัดในทุกประเด็นปัญหาจึงได้เดินทางมารอฟังว่าจะออกมารูปแบบใด การที่เรื่องนี้ยืดเยื้อทำให้สร้างปัญหาความเดือดร้อนในทุกหนแห่ง ไม่ใช่เกิดความแตกแยกในสังคมเท่านั้น แต่ขณะนี้ลุกลามไปหน่วยราชการที่เกิดข้อถกเถียงกันบ้างแล้ว

"เรื่องนี้ตัดสินไม่ยากโดยเฉพาะเรื่องคำสอนอัตตา และอนัตตา มส.ตัดสินได้แล้วว่าเรื่องนี้ผิด เพราะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมเป็น 2 ฝ่าย หากมส.ชี้ขาดไม่ได้ก็ควรจะมีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินด้วย เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนไทยทั้งประเทศ และควรมีการถ่ายทอดเสียงให้ประชาชนรับทราบเนื้อแท้ของการประชุมด้วย ประชาชนจะได้ตัดสินได้ว่าพระรูปใดเป็นอย่างไร และเตรียมที่จะจัดกลุ่มรวมตัวขึ้นด้วย"

รายงานข่าวจากมหาเถรสมาคมแจ้งว่า ในที่ประชุมมส.ก่อนหน้านี้ที่ประชุมได้มีมติให้คณะกรรมการแต่ละรูป นำเอกสารข้อมูลที่พระพรหมโมลีเสนอต่อที่ประชุม เพื่อนำไปศึกษาพิจารณาพร้อมให้กรรมการมส.ได้เขียนข้อเสนอแสดงความคิดเห็น เสนอทางออกเพื่อนำมาประมวลอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อมีการพูดถึงวัดก็มีการเสนอเป็นบันทึกลับไม่ได้นำมาเปิดเผยในที่ประชุม จึงไม่ทราบว่ากรรมการมส.แต่ละรูปเสนอแนวคิดอย่างใด แต่ก็มีมส.บางรูปที่ไม่ได้เขียนข้อเสนอส่งมาเนื่องจากเป็นกรรมการมส.ฝ่ายธรรมยุต และเห็นว่าเป็นเรื่องของมหานิกายที่จะพิจารณากันเอาเอง กรรมการมส.บางกลุ่มบอกว่าไม่มีเวลาในการศึกษาจึงไม่ได้เขียนข้อเสนอมามอบให้

"ข้อเสนอของมส.แต่ละรูปมีมาก เนื่อง จากไม่ได้มีการนำเอาคำตัดสินของพระพรหมโมลีมาพิจารณาเพียงอย่างเดียว แต่ได้นำเอาคณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงของกระทรวงศึกษาฯ เข้าประกอบการพิจารณาด้วย จึงไม่สามารถหา ข้อสรุปได้ โดยประเด็นที่เพิ่มมาก็คือ เรื่องที่ดิน เรื่องเลี่ยงภาษี เรื่องอวดอุตริฯ และข้อกฎหมาย บางข้อที่ต้องนำไปให้ทางกรมการศาสนานำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง และได้มอบให้ อธิบดีกรมการศาสนาไปประมวลแยกแยะเป็นประเด็นแล้วนำกลับมาเสนอที่ประชุมอีกครั้ง คิดว่าไม่สามารถชี้ขาดได้เช่นเดิมและเรื่องนี้คงยืดเยื้อต่อไป"

รายงานข่าวระบุว่า ส่วนเรื่องทางธรรมนั้น ต้องแบ่งแยกว่า เป็นของเจ้าคณะระดับใดต้องพิจารณาข้อกล่าวหาเป็นเรื่อง ๆ ไป ตามที่ฝ่ายอาณาจักรนำเสนอต่อคณะผู้ปกครองพิจารณาโทษ โดยจะว่าตามกระบวนการคณะสงฆ์ โดยอาศัยอำนาจของมส.ฉบับที่ 11 ที่ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ซึ่งกรณีนี้จำเป็นต้องมีโจทก์มาเป็นผู้กล่าวหา หากข้อกล่าวหากรณีข้างต้นไม่มีโจทก์ก็ต้องยกเลิกกันไป ดังนั้นมส.ไม่สามารถลงโทษวัดพระธรรมกายได้ คำสั่งของมส.จะมอบให้คณะผู้ปกครองสงฆ์ลงไปตามลำดับ

พระราชธรรมนิเทศ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ เปิดเผยว่า การเลื่อนประชุมการชี้ขาดนั้นมส.คงเห็นว่าควรจะรอบคอบและทำให้ชัดเจน ครั้งนี้ประชาชนคงเสียความรู้สึกและการที่สื่อมวลชนถามว่าอ่านเกมออกหรือไม่นั้นคงจะอ่านไม่ออก คิดว่ามส.ต้องการความชัดเจนต่าง ๆมากขึ้นเพราะว่าเป็นพระผู้ใหญ่แล้วต้องการความแน่นอนขอให้รอดูไปอีกนิด และยังไม่ได้มีการพูดคุยกับกรรมการมส.เลย นอกจากคาดการณ์เท่านั้น

"จะใช้ทิฐิมาหักหาญกันคงไม่ได้ เนื่อง จากความเห็นไม่ตรงกันก็ควรหันหน้ามาทำความเข้าใจกัน ปัญหาเรื่องนี้ควรจะเชิญเจ้าอาวาสมานั่งแล้วเชิญผู้มีความรู้ลึกซึ้งทางด้านพระไตรปิฎก พร้อมกับนำพระไตรปิฎกมากางดูและซักถามข้อสงสัย ให้มีการชี้แจงกันเป็นข้อ ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาที่มส.ก็ได้ แค่ตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่งเท่านั้นก็พอ สุดท้ายอยากฝากว่าหากประชาชนไม่พอใจการพิจาณาครั้งนี้ และอาจจะมีการประท้วงก็อย่าให้เกิดการปลุกระดมกันเลย"

พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้ความเห็นกรณีที่มหาเถรสมาคมเลื่อนการตัดสินวัดพระธรรมกายออกไปว่า เป็นเรื่องน่าวิตกมากเห็นได้ว่า มีพระชั้นผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์ออกมากล่าวในทำนองเฉยเมยต่อการทำหน้าที่ของพระในเถรสมาคม มีพระเถระออกมาบอกว่ายังไม่ได้อ่านรายงานของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมเลย บางรูปกลับให้ยืนตามที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เสนอทั้ง 4 ประเด็น ที่แย่มาก ๆ เห็นเป็นเรื่องที่พระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งบอกปัดไปว่าตนเองเป็นธรรมยุต เรื่องกรณีวัดพระธรรมกายเป็นเรื่องของมหานิกาย จึงให้มหานิกายไปดูแลกันเอง

"อาตมาว่าพระผู้ใหญ่ทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เสียแล้ว การที่พระพุทธเจ้าสอนให้ปกครองสงฆ์ให้เหมือนพ่อปกครองลูกนั้น หากพูดกันอย่างนี้จะกลายเป็นลูกปกครองพ่อ ลูกทำผิดพ่อก็คอยให้ท้าย การแบ่งพรรคแบ่งพวกทางศาสนาไม่มี ที่มีจะมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียว มีพระธรรมคำสั่งสอนเดียวกัน ไม่มีแยกอย่างที่พระผู้ใหญ่กล่าว การไม่อ่านรายงานของคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ การไม่พิจารณาให้ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหา เท่ากับว่ามหาเถรฯละเลยละทิ้งหน้าที่ของตนเอง ซึ่งถือว่าทำผิดกฎมหาเถรฯสมาคมที่บัญญัติให้มหาเถรสมาคมมีหน้าที่รักษาพระธรรมวินัย การไม่อ่านสำนวนของมหาเถรเป็นการละทิ้งหน้าที่ การไม่ยอมรวมพิจารณาโดยอ้างว่า เป็นเรื่องของมหานิกาย เป็นการละทิ้งหน้าที่"

พระมหาบุญถึงกล่าวด้วยว่า หากนับเวลาที่มีการเสนอเรื่องให้พระเถระได้รับทราบข้อมูลของคณะกรรมาธิการการศาสนาฯเห็นชัด ว่ามีการแจกจ่ายข้อมูลตั้งแต่การประชุมเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2542 รวมเวลาจนถึงขณะนี้ผ่านไปแล้ว 8 วัน ถือว่าประชาชนให้เวลากับพระผู้ใหญ่มากพอแล้ว พุทธศาสนิกชนจะว่าเอาได้ว่าพระเถระยึดติดแต่เฉพาะสมณศักดิ์ลาภยศสรรเสริญ แต่ไม่มีความห่วงใยให้กับพุทธศาสนาเอาเสียเลย ขณะเดียวกันจากการที่ "เดลินิวส์" ติดตามปัญหามูลนิธิศึกษาธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่อเค้าเป็นมูลนิธิธรรมกายสาขา 2 ซึ่งก่อตั้งโดยลูกศิษย์คนสนิทของพระไชยบูลย์ และยื่นขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าขุนแม่ลาย ต.บ่อหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ จำนวน 1,268 ไร่ โดยก่อนหน้านี้เคยอยู่ในพระราชูปถัมภ์ฯ แต่กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎ ราชกุมาร ทำหนังสือด่วนสุดลงวันที่ 11 ก.พ. 2542 ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ขอยกเลิกการพระราชทานพระราชานุญาตให้มูลนิธิอยู่ใน พระราชูปถัมภ์ เนื่องจากกองกิจการในพระองค์ฯ มิได้รับรายงานผลการดำเนินงาน และการเปลี่ยน แปลงเพิ่มเติมที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาจส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียพระเกียรติยศตามมาในภายหลังได้นั้น

นายประเสริฐ ยินดี นายอำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่าหลังจากมีข่าวสำนักราชเลขาธิการสั่งให้ปลดชื่อคำว่าในพระราชูปถัมภ์ ของมูลนิธิออกไป ตนไปตรวจสอบพื้นที่ปรากฏว่ามูลนิธิได้ลบคำว่าในพระราชูปถัมภ์ออกแล้ว "มูลนิธินี้ทำเรื่องกับกรมป่าไม้เพื่อสร้างสถานปฏิบัติธรรมโดยมีการอ้างว่า ขอสร้างบ้านถวายแก่เชื้อพระวงศ์ด้วย ขณะนี้มูลนิธิล็อกกุญแจปิดตาย ห้ามบุคคลภายนอกเข้า-ออก"

นอกจากการครอบครองที่ดินที่เชียงใหม่แล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามูลนิธิศึกษาธรรมฯยังถือครองโฉนดบน "ถนนสีขาว" อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่เป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างถนนพหลโยธินกับธรรมกายเจดีย์ โดยมีการก่อสร้างกำแพงปิดกั้นทางเข้าออกบ้านเรือนประชาชน ซึ่งก่อนการสร้างกำแพงได้มีลูกศิษย์วัดพระธรรมกายติดต่อซื้อที่ดินจากชาวบ้านแต่ไม่สำเร็จนั้น

"เดลินิวส์" ได้รับการร้องเรียนจากนางวรรณา (ขอสงวนนามสกุล) ว่า มีที่ดินอยู่ตรงถนนสีขาว ถูกกั้นกำแพง ทุกวันนี้ออกลำบาก ที่ดินผืนนี้ตกทอดมาตั้งสมัยแม่ที่แบ่งมาให้ เคยมีพระวัดพระธรรมกายมาขอซื้อที่ดิน แต่ไม่ได้ขายทำให้แม่ถูกพระด่า หลังจากแบ่งที่ดินให้ลูก ๆ เสร็จ ญาติพี่น้องก็รู้ว่าจะมีการสร้างกำแพงกั้น จึงไปหาพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส ซึ่งพระเผด็จกล่าวว่าที่ต้องสร้างกำแพงเพราะกั้นไม่ให้ชาวบ้านออกมาโดนรถชน โดยหลังจากไปหาพระเผด็จเสร็จก็มีการก่อสร้างกำแพงเลย

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนั้นทางวัดส่งสีกาสนิทคือสีกาอี๊ด มาประชุมกับชาวบ้านที่โรงเรียนแสงอ่ำ โดยขอให้ช่วยค่าสร้างถนน ปรากฏว่าได้มีการรวบรวมเงินจะให้ 2 ล้านบาท สีกาอี๊ดก็ไม่เอาบอกว่าสร้างถนน 60-70 ล้านบาท ให้แค่นี้ไม่พอ สุดท้ายชาวบ้านถูกสร้างกำแพงล้อมปิดที่ดิน

ที่ดินถนนสีขาวนี้ เดิมทีผู้ครอบครองคือนายสุธรรม ตีระวนิช สาวกสนิทของพระไชยบูลย์ และอดีตเลขานุการมูลนิธิธรรมกาย ปัจจุบันบวชเป็นพระระดับในของวัด และขายให้นางจิรวัฒน์ บุณยบุตร สีกาสนิทพระไชยบูลย์เช่นกันเมื่อปี 2533 และต่อมานางจิรวัฒน์ค่อยขายต่อให้มูลนิธิ ในปี 2538