พระลิขิตสังฆราชสึกธัมมชโย

-ไม่คืนศาสนสมบัติให้วัดถึงขั้นปาราชิก -อาคมสั่งเผาหนังสือพระแท้ธรรมกาย

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ-พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกทรงมีพระลิขิตชี้ขาดกรณีวัดพระธรรมกายว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติชั้นปาราชิก กรณีไม่ยอมส่งมอบคืนสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด

ทั้งนี้ อาบัติชั้นปาราชิกถือว่าเป็นอาบัติชั้นสูงสุดตามพระวินัย สำหรับสงฆ์ที่กระทำความผิดรุนแรงเช่น เสพเมถุน ฆ่าคนตาย ฯลฯ และจะต้องสึกจากพระในทันที

บ่ายวานนี้ (29 เมษายน) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี โดยทรงมอบผ่านทางพระเลขาประจำสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช คือ พระวิปัสสี

ในพระลิขิตดังกล่าว ทรงให้กรมการศาสนารับสนองพระลิขิตมีใจความระบุว่า "ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที

พระลิขิต ระบุว่า "การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "

เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชแจ้งว่าได้รับพระลิขิตดังกล่าว จากสมเด็จพระสังฆราชเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบว่า สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จไปวัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี แล้ว และไม่ทราบหมายกำหนดการเดินทางกลับ

ด้านนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ให้สัมภาษณ์ในช่วงเย็นวันเดียวกันว่า ยังไม่ได้รับหนังสือพระลิขิตดังกล่าว ซึ่งหากเป็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชจริงก็น่าจะมีหนังสือนำส่งจากสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชมาถึงอย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ยังไม่มี ดังนั้นเพื่อความกระจ่าง ในวันนี้ (30 เมษายน) จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เพื่อกราบบังคมทูลสอบถามความเป็นมาในเรื่องดังกล่าว

เช่นเดียวกับ นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวถึงกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิตเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายออกมาอีกว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะว่าสมเด็จพระสังฆราชจะไม่เข้ามาก้าวก่ายงานของมหาเถรสมาคม เนื่องจากท่านเป็นประธานของมหาเถรสมาคมอยู่แล้ว เมื่อมหาเถระมีมติให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นผู้ดำเนินการแล้ว ท่านคงจะไม่มีพระบัญชาอะไรขึ้นมาอีก

"ผมว่าเรื่องนี้น่าจะมาจากห้องกระจกในวัดบวรนิเวศวิหาร เพราะขณะนี้ทราบว่า มีความวุ่นวายมากพอสมควร และเคยอ้างเรื่องพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชมาแล้ว แต่ผมยังไม่เห็นหนังสือจึงไม่กล้าให้ความเห็นอะไรมากนัก" นายอาคม กล่าวกับผู้สื่อข่าวกระทรวงศึกษาในช่วงเย็น

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามขอคำยืนยันจากทางวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งที่สุดพระวิปัสสี พระเลขานุการประจำสำนักงานสมเด็จพระสังฆราช ยืนยันว่าพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่ออกมาในตอนบ่ายวานนี้ เป็นของจริง โดยสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงมีพระลิขิตตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา แต่เพิ่งส่งมาถึงสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชวานนี้ เพื่อให้สำนักงานประสานงานกับกรมการศาสนา ดำเนินการเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ

ทั้งนี้พระวิปัสสีบอกว่า พระลิขิตดังกล่าว ไม่ได้ระบุว่าเป็นวัดพระธรรมกายเพียงวัดเดียว แต่ให้ครอบคลุมทุกวัดทั่วประเทศ

พระวิปัสสี กล่าวว่า ขณะนี้ทางวัดบวรนิเวศวิหาร ได้ให้เจ้าหน้าที่ของทางวัด ประสานงานไปยังกรมการศาสนาแล้ว แต่ไม่ได้ติดตามว่าพระลิขิตดังกล่าว จะถึงมืออธิบดีกรมการศาสนาหรือไม่

ทางด้านพระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ให้สัมภาษณ์ว่า หากพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ยอมคืนที่ดินให้วัดและไม่ยอมสึก ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว

"ดูอย่างกรณียันตระ ยังเคยถูกสั่งให้สึกมาแล้ว และวัดพระธรรมกายจะมาดื้อดึงได้อย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ลูกศิษย์ลูกหาจะคลั่งกันหรือเปล่า" พระพยอม ระบุ

นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สภาผู้แทนฯ กล่าวว่า เขาได้เห็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ซึ่งเมื่อดูจากลายลักษณ์อักษรลงนามของสมเด็จพระสังฆราชแล้ว เป็นของจริง

"เรื่องนี้ ไม่ใช่ความคิดเห็น แต่เป็นพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช ในนามประธานมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งกรมการศาสนาจะสนองพระบัญชาทันที หรือจะนำเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคมเลยก็ได้ เพราะถือว่า สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระประมุขสูงสุด" นายจรวยกล่าว

กระนั้น เขาก็บอกว่า เพื่อความรอบคอบ ควรนำเข้าเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม

ส่วนที่ประชุมจะมีความเห็นขัดแย้งกับพระวินิจฉัยหรือไม่นั้น นายจรวยกล่าวว่า ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมก็มีความคิดเห็นที่ขัดแย้ง แต่ก็คิดว่า ทางออกในขณะนี้ คือ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะต้องรีบโอนที่ดินให้วัดทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องสึก

"แต่หากไม่ยอมโอนที่ดินให้เป็นของวัด ก็ตีความได้ว่า จะเบียดเบียนยักยอก เอาของศาสนา หรือเรียกว่า โกง เพราะที่ดินที่ได้มา ได้มาจากคนมาทำบุญให้ศาสนา" นายจรวยกล่าว

อย่างไรก็ตาม เขาก็เชื่อว่า พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คงจะต้องโอนที่ดินให้เป็นของวัด เพราะเชื่อว่า คงไม่ยอมสึกง่ายๆ

ด้านสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม และกรรมการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้รับพระลิขิตดังกล่าว แต่หากมีจริง ก็ควรที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคม

นอกจากนี้ นายอาคม ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ขณะนี้คณะทำงานตรวจสอบคำสอนของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะหนังสือพระแท้ที่เขียนโดยพระภาวนาวิริยคุณ รองเจ้าอาวาสนั้น คณะทำงานรายงานว่าจะต้องงดการเผยแพร่ ส่วนที่แจกไปแล้วจะต้องเก็บคืนทั้งหมด เพราะจะทำให้เกิดความสับสนในหมู่พุทธบริษัท

"หากเผยแพร่ออกไป จะทำให้สับสนไปหมดว่า อันไหนคือคำสอนของพระไตรปิฎก อันไหนคือคำสอนของวัดพระธรรมกาย เพราะจะปะปนกันจนแยกไม่ออก ตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า ให้เอาไปเผาทิ้ง" นายอาคมอ้างผลสรุปของคณะทำงาน

อย่างไรก็ตาม คณะทำงาน ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมการศาสนา ยังวิเคราะห์หนังสือพระแท้ใน 4 ประเด็นคือ เรื่องธรรมกาย ปฐมมรรค อายตนนิพพาน และบาปย่อมชำระล้างได้ด้วยบุญ โดยสรุปเปรียบเทียบธรรมกายแบบเถรวาท มหายาน และแบบวัดพระธรรมกายด้วย

นายอาคมเปิดเผยด้วยว่า ผลสรุปของคณะทำงานชุดนี้ จะส่งต่อไปยังพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เพื่อให้ดำเนินการเพราะเป็นผู้มีอำนาจตามมติมหาเถรสมาคม(มส.)

ขณะเดียวกัน ภายหลังปรากฏข่าวพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ออกมาแล้ว บรรยากาศที่วัดพระธรรมกายยังเป็นไปด้วยความเงียบเหงา บริเวณด้านหน้าทางเข้ามียามรักษาการณ์อย่างเข้มงวดเหมือนกับในวันที่ทางวัดมีงานบุญทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะมีการตรวจตราผู้สื่อข่าว

ส่วนภายในวัดที่บริเวณเขตหวงห้าม ซึ่งเป็นที่พักของหลวงพ่อธัมมชโยนั้นได้มีรถเก๋งคันหรู ทั้งเบนซ์และบีเอ็มดับบลิวของผู้ที่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อธัมมชโย ได้ทยอยกันเข้าภายในที่พักตลอดเวลา ซึ่งมียามรักษาการณ์คอยตรวจชั้นในอีก 1 ชั้นตรวจรถทุกคันที่ผ่านเข้าไปภายในเขตหวงห้ามอย่างละเอียด โดยเท่าที่สังเกตมีการผ่านเข้าออกโดยใช้บัตรแสดงก่อนผ่านเข้าไป และเมื่อเข้าไปแล้วก็จะไม่มีรถเก๋งคันใดออกมาเลย

ขณะที่ด้านรอบนอกวัดพระธรรมกาย ยังมีอาสาสมัคร ซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษา และรปภ.ขี่รถจักรยานยนต์ตรวจตราไปมาอย่างละเอียดนับ 100 คน โดยทุกคนใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกันตลอดเวลา


กรุงเทพธุรกิจฉบับ วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ.2542