พึ่งตนพึ่งธรรม คือบำเพ็ญ สติปัฏฐาน ๔ ; คำว่าอัตตภาพ ( อัตตา ) พระพุทธองค์ก็ทรงใช้ไปตามสมมติของชาวโลกเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 13
ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 274-275 ข้อ 93 มหาปรินิพพานสูตร
มหาปรินิพพานสูตร
[ ๙๓ ] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ อย่างไร
ดูก่อนอานนท์
ภิกษุในพระศาสนานี้พิจารณากายในกาย เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเวทนาในเวทนา เป็นผู้มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาจิตในจิต
เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ
มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรม
เป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ด้วยอาการอย่างนี้แล
ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี
โดยการที่เราตถาคตล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลาย พวกใดพวกหนึ่ง จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ
มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จักมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่
ไม่เป็นผู้มีสิ่ง
อื่นเป็นสรณะ ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา เหล่านี้นั้น
จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 99-100 ข้อที่ 33 จักกวัตติสูตร
จักกวัตติสูตร
เรื่อง พระเจ้าจักพรรดิทัฬหเนมิ
[ ๓๓ ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:- สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลาในแคว้นมคธ
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นที่เกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
จงมีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่ง อื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเป็นอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ พิจารณาเป็นเวทนาใน เวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน พระธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นจิต
ในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็น ที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน
ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน มารจักไม่ได้โอกาส
จักไม่ได้อารมณ์ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายบุญนี้ ย่อมเจริญขึ้นอย่างนี้เพราะ เหตุที่ถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล
หน้า 120-121 ข้อที่ 49
[ ๔๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่เกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นอย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ พิจารณาเป็นเวทนาใน เวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน พระธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรม
เป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ อย่างนี้แล
หน้า 126
อรรถกถาจักกวัตติสูตร
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา ถามว่า ก็ในคำว่า อตฺตทีปา
นี้ อะไรเล่า ชื่อว่าตน
แก้ว่า โลกิยธรรม
และโลกุตรธรรม ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนฺญญสรณา มีธรรมเป็นเกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งดังนี้
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 27 สังยุตต
นิกาย ขันธวารวรรค หน้า 88-89 ข้อที่ 87-88 อัตตทีปสูตร
อัตตทีปสูตร
ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรม
[ ๘๗ ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นพึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่
จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของ
พระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน
๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตน
ในรูป ๑ รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป
ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีเวทนา ๑ ย่อมเห็นเวทนาในตน
๑ ย่อมเห็นตนในเวทนา ๑ เวทนานั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะเวทนาแปรไปและเป็นอื่นไป
ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีสัญญา ๑ ย่อมเห็นสัญญาในตน
๑ ย่อมเห็นตนในสัญญา ๑ สัญญานั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะสัญญาแปรไปและเป็นอื่นไป
ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีสังขาร ๑ ย่อมเห็นสังขารในตน
๑ ย่อมเห็นตนในสังขาร ๑ สังขารนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะสังขารแปรไปและเป็นอื่นไป
ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑ ย่อมเห็นวิญญาณในตน
๑ ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑ วิญญาณนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะวิญญาณแปรไปและเป็นอื่นไป
[ ๘๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อภิกษุรู้ว่ารูปไม่เที่ยงแปรปรวนไป คลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า
รูปในกาลก่อน และรูปทั้งมวลในบัดนี้
ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรดา ดังนี้ ย่อมละโสกะปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข
ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าเวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรดา
ดังนี้ ย่อมละโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้
จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าสัญญาไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรดา
ดังนี้ ย่อมละโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้
จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรดา
ดังนี้ ย่อมละโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้
จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าวิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรดา ดังนี้ ย่อมละโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้
เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข
ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
จบ อัตตทีปสูตรที่ ๑
หน้า 90
อรรถกถาอัตตทีปสูตร
บทว่า อตฺตสรณา
นี้ เป็นคำห้ามพึ่งผู้อื่น ด้วยว่าผู้อื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะคนหนึ่งจะพยายามทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์
หาได้ไม่ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน ( อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ )
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
ถามว่า
ก็ในที่นี้ อะไรชื่อว่าตน ?
แก้ว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะและโลกุตรธรรม ( ชื่อว่าตน )
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 30 สังยุตต
นิกาย มหาวารวรรค หน้า 395-397 ข้อที่ 711-712 คิลานสูตร
คิลานสูตร
ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
[ ๗๑๑ ] ดูก่อนอานนท์ สมัยใด ตถาคตเข้าเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต
เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนิมิต
ทั้งปวง เพราะดับเวทนาบางเหล่าแล้วอยู่
สมัยนั้น กายตถาคตย่อมผาสุก เพราะฉะนั้นแล เธอทั้งหลายจงมีตน
เป็นที่เกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
คือ จงมีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็น
ที่พึ่งอยู่เถิด
[ ๗๑๒ ] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นที่เกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นที่เกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณากายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเวทนาในเวทนา มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาจิตในจิต เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นที่เกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ
มีธรรมเป็นที่เกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล
หน้า 402
อรรถกถาคิลานสูตร
แม้ในบทมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ก็นัยนี้นั่นแล ก็โลกุตรธรรม ๙ อย่าง พึงทราบว่า ธรรมในบทนี้
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 30 สังยุตต
นิกาย มหาวารวรรค หน้า 425 ข้อที่ 738-739 จุนทสูตร
จุนทสูตร
ว่าด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตร
[ ๗๓๘ ] ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่
มีแก่น ตั้งอยู่ ลำต้นใดซึ่งใหญ่กว่า ลำต้นนั้นพึงทำลายลง
ฉันใด เมื่อภิกษุหมู่ใหญ่ซึ่งมีแก่น ดำรงอยู่ สารีบุตรปรินิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะพึงได้ในข้อนี้แต่ที่ไหน
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า
ของสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายมีตนเป็นที่เกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นที่เกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด
[ ๗๓๙ ] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นที่เกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ
มีธรรมเป็นที่เกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณากายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเวทนาในเวทนา มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาจิตในจิต เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นที่เกาะ
มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ
มีธรรมเป็นที่เกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างนี้แล
หนังสือ "นิพพาน อนัตตา" ของพระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต ) หน้า ๑๑๒-๑๑๕
ก. จะแสวงหาหญิง หรือแสวงหาตน
คราวเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากพาราณสี เพื่อไปสู่ตำบลอุรุเวลา
ระหว่างทางเสด็จแวะพักที่ไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง
ครั้งนั้นหนุ่มภัททวัคคีย์ประมาณ ๓0 คน ตามหาหญิงโสเภณีคนหนึ่งซึ่งพวกตนจ้างมาบำเรอเพื่อนคนหนึ่ง
และหญิงนั้นลัก
ของหนีไป คนเหล่านั้นมาถึงที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ และทูลถามว่าพระองค์เห็นหญิงมาทางนั้นไหม
เมื่อพระองค์ตรัสถาม
เรื่องราว คนเหล่านั้นก็กราบทูลเล่าเรื่องถวาย จบแล้วพระพุทธเจ้าตรัสถามพวกเขาว่า
พวกเธอจะแสวงหาหญิง หรือจะแสวง
หาตัวเอง อย่างไหนประเสริฐกว่า หนุ่มเหล่านั้นก็ได้ทูลตอบว่า แสวงหาตัวเองดีกว่า
( วินย. ๔/๓๖/๔๔ )
พุทธพจน์นี้ทำให้บางท่านตีความว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าแสวงหาตน
คือแสวงหานิพพาน แต่ไม่มีหลักฐานอันใด
ที่จะมาสนับสนุนความเห็นนี้ ในพระไตรปิฎกเองก็ไม่กล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับพุทธพจน์นี้อีก
และไม่มีการอ้างอิงเชื่อมโยง
พุทธพจน์นี้เกี่ยวของกับนิพพาน อรรถกถาก็ไม่เอาใจใส่ที่จะกล่าวถึงพุทธพจน์นี้
ความจริง มิใช่เฉพาะคราวนี้เท่านั้น เมื่อครั้งนางปาฏาจาราประสบเคราะห์
สามีสิ้นชีวิตแล้ว ลูกทั้งสองยังมาตาย
ในเวลาต่อเนื่องกันอีก ทำให้นางเสียสติไป เมื่อนางมาพบพระพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสข้อความคล้ายกันว่า
" เธออย่ามัวเศร้า
โศกถึงลูกเลย จงสบายใจเถิด จงแสวงหาตนเองของเธอเถิด จะระทมใจไปไยให้ไร้ประโยชน์
" ( ขุ.อป. ๓๓/๑๖0/๓๒๒ ) ณ
ที่นี้
ก็เช่นเดียวกันไม่มีข้อความโยงเรื่องตัวเองนี้ไปหานิพพานแต่อย่างใด
และอรรถกถาก็ไม่พูดถึงเช่นกัน
พูดได้ว่า คำว่า ตน หรือตัวเองในพระพุทธพจน์นี้ไม่ได้มีนัยความหมายพิเศษที่จะให้คิดไปไกลถึงอย่างนั้น
แต่เป็นการ
ให้สติขณะที่คนเหล่านั้นกำลังวุ่นวายหรือเดือดร้อนกับเรื่องข้างนอกตัว พระองค์ตรัสกระตุกให้เข้าหันมาเอาใจใส่กับการแก้ปัญหา
ให้กับตัวเอง เป็นใช้คำว่าตนในความหมายสามัญเหมือนอย่างที่เห็นทั่วไปในพระไตรปิฎก
คล้ายกับภาษาไทยว่า อย่ามัวสนใจแต่เรื่องของคนอื่นเลย หันมาดูตัวเอง หรือหันมาสนใจ
เรื่องของตัวเองเถิด
ข. จงมีตนเป็นเกาะ จงมีตนเป็นที่พึ่ง
มีพุทธพจน์หนึ่ง ซึ่งจารึกไว้หลายแห่งในพระไตรปิฎก
มีข้อความเหมือนกัน หรือทำนองเดียวกันว่า " อตฺตทีปา
วิหรถ อตฺตสรณา อนฺญญสรณา, ธมฺมทีปา ธมฺสรณา อนญฺญสรณา " ( ดู
ที.ม. ๑0/๙๓/๑๑๙, ที.ปา. ๑๑/๓๓/๖๒;
๔๘/๘๔,สํ.ข. ๑๗/๘๗/๕๓; สํม ๑๙/๗๑0/๒0๕ ; ๗๓๘/๒๑๗ ; และมีเฉพาะคำเดียวว่า
อตฺตทีปาในคาถา ขุ.อป.๓๓/๑๕๗/๓00 )
แปลว่า: "เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ
จงมีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง
อย่างมีอื่นเป็นที่พึ่ง "
บางท่านโน้มเอียงที่จะแปลความว่า ตน
หรือ อัตตาในที่นี้หมายถึงพระนิพพาน
ข้อสังเกตเกี่ยวกับพุทธพจน์นี้คือ
- ความ ๒ ตอนในพุทธพจน์นี้ขยายความหรืออธิบายกันเอง กล่าวคือ ที่ว่ามีตนเป็นเกาะ
หรือมีตนเป็นที่พึ่ง ก็คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง พูดสั้นๆ ว่าพึ่งตน
พึ่งธรรม
- ต่อจากนี้ พุทธพจน์จะขยายความต่อไปอีก และส่วนมากจะขยายความว่า
พึ่งตน พึ่งธรรม คือบำเพ็ญ
สติปัฏฐาน ๔แม้แต่คำที่มาเดี่ยวในคาถาก็ไขความว่าให้อยู่กับสติปัฏฐาน
- มีอยู่แห่งหนึ่ง ที่ตรัสว่า พึ่งตน พึ่งธรรม
คือให้มีโยนิโสมสิการ พิจารณาถึงเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
ซึ่งสืบเนื่องจากการยึดถือในเรื่องตัวตนเกี่ยวด้วยขันธ์ ๕ แล้วเกิดทุกข์ เพราะรู้ไม่เท่าทันไตรลักษณ์
เมื่อเห็น อนิจจัง ทุกขัง ในขันธ์ ๕ แล้วก็ละทุกข์อยู่สุขได้
- ครั้งหนึ่ง มีข่าวว่าพระสารีบุตรปรินิพพาน ทำให้เกิดผลกระทบกระเทือนแก่พระสงฆ์
โดยเฉพาะพระอานนท์มาก
เพราะพระสารีบุตร เป็นหลักสำคัญในพระศาสนา พระพุทธเจา้ได้ตรัสสอนพระอานนท์ให้พิจารณาเห็นคติธรรมดาของชีวิต
และให้พึ่งตนพึ่งธรรม คือบำเพ็ญ สติปัฏฐาน
๔
ตามพุทธพจน์และเรื่องราวในพระไตรปิฎก ก็ดูจะชัดเจนพึ่งตนก็คือเอาธรรมมาปฏิบัติด้วยตนเอง
ไม่ไปมัวนอนรอคอย
ใครมาช่วยเหลือดลบันดาลให้ ความหมายนี้สอดคล้องกับคำอธิบายหลักๆ ของ อรรถกถา
ซึ่งกล่าวว่า
- ที่ว่ามีตนเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง คือเอาตัวเองเป็นที่พึ่งพำนักเป็นคติ
เพราะคนหนึ่งเป็นที่พึ่งให้แก่อีกคนหนึ่งไม่ได้
เนื่องจากคนหนึ่งจะบริสุทธิ์ด้วยความเพียรพยายามของอีกคนหนึ่งไม่ได้
สมดังพุทธพจน์ตรัสสอนว่า - ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
( อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ )
- แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า ธรรม
ได้แก่โลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม (
ดู ตามความสืบเนื่องมา ก็พูดต่อ
ไปได้ว่า พึ่งตนพึ่งธรรม ได้แก่ เอาธรรมมาปฏิบัติหรือปฏิบัติตาธรรม จนสำเร็จผลผ่านโลกิยธรรมเข้าถึงโลกุตตรธรรม
)
มีอรรถกถาอยู่แห่งหนึ่งที่ไขความว่า ธรรม
หมายถึง โลกุตตรธรรม ๙ ก็คือปฏิบัติไปจนเข้าถึงโลกุตตรธรรม
จึงจะปลอดภัย พึ่งตนเองได้แท้จริง
ตามความในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ไม่มีอะไรที่จะให้มองไปถึงเรื่องนิพพานเป็นอัตตา
ท่านพูดถึงตนหรืออัตตาในความหมายสำหรับการปฏิบัติพัฒนาตนด้วยเรี่ยวแรงความเพียรพยายามของตนตามธรรมนั่นเอง
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 12 ทีฆ
นิกาย สีลขันธวรรค หน้า 177 ข้อที่ 312 โปฏฐาทสูตร
โปฏฐาทสูตร
[ ๓๑๒ ] จิตต์ ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด
การได้อัตตภาพอันหยาบย่อมมี
สมัยนั้น ไม่ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพ
อันสำเร็จด้วยใจ ทั้งไม่ถึงซึ่งอันนับว่า
ได้อัตตภาพอันไม่มีรูป
ในสมัยนั้น ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพอันหยาบอย่างเดียว
สมัยใด ได้อัตตภาพสำเร็จด้วยใจ
สมัยนั้นมิได้ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพที่หยาบ
ทั้งไม่ถึงซึ่งอันนับว่า
ได้อัตตภาพอันไม่มีรูป
ในสมัยนั้น ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพสำเร็จด้วยใจอย่างเดียว
สมัยใด ได้อัตตภาพอันไม่มีรูป
สมัยนั้นมิได้ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพที่หยาบ
ทั้งไม่ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพอันสำเร็จด้วยใจ
ในสมัยนั้น ถึงซึ่งอันนับว่า ได้อัตตภาพอันไม่มีรูปอย่างเดียว
จิตต์ เหล่านี้แล เป็น
โลกสมัญญา ( ชื่อตามโลก ) โลกนิรุตติ
( ภาษาชาวโลก ) โลกโวหาร ( โวหารชาวโลก )โลกบัญญัติ
ที่ตถาคตกล่าวมิได้เกี่ยวข้อง
( เป็นแต่เพียงยืมมาพูด ถ้าว่าทางปรมัตถ์ ไม่มีเกี่ยว )
หน้า 202-203
อรรถกถาโปฏฐาทสูตร
บทว่า อิมา โข จิตฺต ความว่า ดูก่อนจิตต์
การได้อัตตภาพอันหยาบ การได้อัตตภาพอันสำเร็จด้วยใจ และการได้
อัตตภาพอันไม่มีรูป เหล่านี้แล เป็นโลกสัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการได้อัตตภาพ
๓ อย่างเบื้องต่ำอย่างนี้ว่าเหล่านั้นเป็นเพียงชื่อในโลก เป็นเพียงสัญญา เหล่านั้นเป็นภาษาในโลก
เป็นเพียงแนวคำพูด เป็นเพียงโวหาร เป็นเพียงนามบัญญัติ ดังนี้แล้ว บัดนี้จึงตรัสว่า
นั้นทั้งหมด เป็นเพียงโวหาร เพราะเหตุอะไร เพราะโดยปรมัตถ์ไม่มีสัตว์
โลกนั้นสูญว่างเปล่า ( จากอัตตา )
ก็กถาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีสองอย่างคือ
สมมติกถา และ
ปรมัตถกถา ในกถาทั้งสองอย่างนั้น
กถาว่า สัตว์คน เทวดา พรหม เป็นต้น ชื่อว่า สมมติกถา ถกาว่าอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สติปัฏฐาน สัมมปธานเป็นต้นชื่อว่า ปรมัตถกถา
ในกถาเหล่านั้น ผู้ใดครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
สัตว์ คน เทวดา หรือ พรหม ย่อมสามารถเพื่อรู้แจ้ง เพื่อแทงตลอด เพื่อนำออกจากทุกข์
เพื่อถือเอาซึ่งการจับธง คือ พระอรหัตด้วยสมมติเทศนา พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะตรัสว่า
สัตว์ คน เทวดา หรือว่าพรหม เป็นเบื้องต้นแก้ผู้นั้น ผู้ใดฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นต้นว่า อนิจจัง หรือทุกขัง ด้วยปรมัตถเทศนา ย่อมอาจเพื่อรู้แจ้ง เพื่อแทงตลอด
เพื่อนำออกจากทุกข์ เพื่อถือเอาซึ่งการจับธง คือ พระอรหัตพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะทรงแสดงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็น
ต้นว่า อนิจจังหรือว่าทุกขังแก่ผู้นั้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่แสดงปรมัตถกถาก่อน แม้แก่สัตว์ผู้จะรู้ด้วยสมมติกถา
แต่จะทรงให้รู้ด้วยสมมติกถาแล้ว จึงทรงแสดงปรมัตถกถาในภายหลัง จะไม่ทรงแสดงสมมติกถาก่อน
แม้แก่สัตว์ผู้จะรู้ด้วยปรมัตถกถา แต่จะทรงแสดงให้รู้
ด้วยปรมัตถกถาแล้ว จึงทรงแสดงสมมติกถาในภายหลัง แต่โดยปกติเมื่อทรงแสดงปรมัตถกถาก่อนเทียว
เทศนาก็จะมีอาการ
หยาบ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงแสดงสมมติกถาก่อนแล้ว จึงทรงแสดงปรมัตถกถาภายหลัง
แม้เมื่อจะทรงแสดง
ปรมัตถกถา ก็ทรงแสดงความเป็นจริง ตามสภาพ ไม่เท็จ โบราณจารย์กล่าวคาถาไว้ว่า
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเมื่อจะตรัสก็ตรัสสัจจะ
๒ อย่างคือ
สมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ จะไม่ได้สัจจะที่ ๓
สมมติวจนะเป็นสัจจะ
เป็นเหตุแห่งโลกสมมติ
ปรมัตถวจนะเป็นสัจจะ
เป็นลักษณะมีจริงแห่งธรรมทั้งหลายดังนี้
บทว่า ยาหิ ตถาคโต โวหรติ อปรามสนฺโต
ความว่า พระตถาคตทรงประมวลเทศนาวา
ชื่อว่า
ไม่ทรงเกี่ยวข้องเพราะไม่มีความเกี่ยวข้อง ด้วยตัณหามานะ
และทิฏฐิ ตรัสด้วยโลกสมัญญา ด้วยโลกนิรุตติ
หนังสือ "นิพพาน อนัตตา" ของพระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต ) หน้า ๑๑๖-๑๒๑
- คำว่า
ตน ตัวตน หรือ อัตตานี้ ในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำระดับสมมติ ที่มนุษย์
บัญญัติขึ้น มาจากความยึดถือ เช่นเดียวกับคำสามัญอื่นๆ
ทั้งหลาย เช่น สัตว์ บุคคล มนุษย์ สตรี เรา เขา แม้ พระพุทธองค์ก็ทรงใช้ไปตามสมมติของชาวโลกนั้น
สำหรับเป็นเครื่องสื่อสารกัน แต่ทรงใช้ด้วย
ความรู้เท่าทันความจริงไม่ยึดติดถือมั่น ไม่หลงสมมตินั้น
แต่เมื่อพูดถึงความจริงแท้โดยปรมัตถ์ ถ้อยคำเหล่านี้ท่านไม่ใช้
ท่านจึงไม่พูดถึงคำว่า สัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน
เรา เขา จะพูดถึงสภาวธรรมอันมีอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติ
- การที่มนุษย์จะบัญญัติถ้อยคำอะไรขึ้นมาสมมตินั้นก็บัญญัติจากสิ่งที่เขายึดถือ
ซึ่งก็คือ
สังขารทั้ง หลายหรือขันธ์ ๕ นั่นเอง
- มองในทางกลับกัน สิ่งที่มนุษย์จะยึดถือได้ ก็มีเพียงสังขารหรือขันธ์
๕ นั้น เท่านั้น และมนุษย์ ที่จะยึดถืออย่าง
นั้นก็คือมนุษย์ปุถุชน หรือคนที่ยังไม่หมดกิเลส แม้แต่สิ่งหรือสภาวะที่ไม่ใช่ขันธ์
๕ ไม่ใช่ สังขาร เมื่ออยู่ในความคิดนึกของ
มนุษย์เหล่านี้ ก็เป็นเพียงภาพในความคิดปรุงแต่ง จึงเป็นสังขารหรือ องค์ประกอบในขันธ์
๕ อยู่นั่นเอง
- ในการปฏิบัติธรรม เพื่อแก้ไขความยึดถือนั้น ก็คือทำให้เกิดปัญญารู้เข้าใจความจริง
เมื่อเขารู้ เท่าทันความจริง รู้ทันสมมติแล้ว ก็เลิกเข้าใจผิด เลิกยึดถือสังขารหรือขันธ์
๕ เป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เรา เขา และรู้ไปตามสภาวธรรม
เรื่อง อัตตา ตัวตน สัตว์ บุคคล ก็จบลงไปกับความยึดติดถือมั่นหรือ หลงผิด
ที่หมดไปนั่นเอง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีเหลืออยู่อีก
( ในความยึดถือ ) นอกจากใช้ในการสื่อสารด้วย ความรู้เท่าทันตามโอกาส
เพราะฉะนั้น
- สำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อเลิกละความยึดถือ ก็จึงเจริญปัญญาให้รู้เท่าทันตามเป็นจริงว่า
สังขารหรือ
ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ และไม่อาจยึดเอาเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ได้ และคำสมมติเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง
ดังที่ผู้บำเพ็ญ วิปัสสนาก็พิจารณาสังขารถึงความที่สังขารหรือขันธ์ ๕ เป็น
อนิจจัง (ไม่เที่ยงต้องแปรปรวนไปเป็นธรรมดา) ทุกขัง (เป็นทุกขคือไม่สามารถทนอยู่ได้ตลอดกาลต้องเสื่อมสลายหายไปเป็นธรรมดา)
อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนอะไรของเราดังนั้น
ถึงไปบังคับบัญชาอะไรไม่ได้เป็นเพียงสภาวธรรมตามธรรมชาติเท่านั้น) ( จึงมีวิปัสสนาวิธี
สำหรับปฏิบัติต่อสังขาร
หรือขันธ์ ๕ นั้น )
- ส่วนผู้รู้แจ้งถึงธรรมเท่าทันต่อสภาวะแล้ว ก็รู้เท่าทันว่าสังขาร
หรือขันธ์ ๕ นั้นไม่ใช่สัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน
เรา เขา ฯลฯ เมื่อรู้แจ้งความจริงแล้ว ก็ละเลิกข้ามพ้นเลยความยึดถือนั้นไป
เรื่อง สัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เรา เขา ก็หมดไปพร้อมกับความยึดถือในสังขาร
หรือขันธ์ ๕ ไม่มีที่จะให้หลงยึด เป็นความจริงอีกต่อไป จึงไม่มีและไม่พูดถึงสัตว์
บุคคล อัตตา ตัวตน เรา เขา พ้นเลยจากเรื่องของขันธ์ ๕ หรือสังขารทั้งหลายต่อไป
สัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เรา เขา มีอยู่เพียงในความยึดถือโดยสังขารหรือขันธ์ ๕ เป็นฐานแห่ง การยึดถือนั้น เป็นภาพซ้อนขึ้นมาบนสภาวธรรม เมื่อรู้แจ้งความจริงของสังขารหรือขันธ์ ๕ ตามสภาวะ แล้ว ภาพซ้อนนั้นก็หายไป ความจริงประจักษ์ เรื่องก็จบ ไม่มีความยึดถือที่จะไปเกาะจับเอาอะไรขึ้นมา เป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เรา เขา อีกต่อไป
จึงไม่ต้องพูดถึงสภาวะที่มีอยู่เหนือกว่านั้นไปว่าเป็นอนัตตา
เพราะไม่เป็นอัตตาอยู่แล้ว
และไม่มีความหลงผิดอะไรที่จะมายึดให้เป็น จึงไม่ต้องบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา
เพราะไม่ได้
เป็นอัตตา และไม่มีใครจะมายึดว่าเป็นอัตตาอยู่แล้ว
ความที่ว่ามานี้จะเห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลิกยึดขันธ์
๕ เป็นอนัตตา หรือให้รู้ความ
จริงว่าขันธ์ ๕ ทั้งหมดเป็นอนัตตาแล้ว คำสอนของพระองค์ส่วนนี้ก็ไปต่อรับกันกับพระพุทธพจน์ที่ตรัสรวบยอดไว้
ตัดเรื่องอัตตาออกไปเด็ดขาดหมดสิ้น ดังหลักฐานว่า
"ดูก่อนเสนิยะ ศาสดา๓ประเภทนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก กล่าวคือ
ศาสดาบางคนในโลกนี้ บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้
ทั้งใน
ปัจจุบัน และในเบื้องหน้า
ศาสดาบางคนในโลกนี้ บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้
เฉพาะใน
ปัจจุบัน ไม่บัญญัติเช่นนั้นในเบื้องหน้า
ศาสดาบางคนในโลกนี้ ไม่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้
ทั้งใน
ปัจจุบัน ทั้งในเบื้องหน้า
ในศาสดา๓จำพวกนั้น
ศาสดาที่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้
ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในเบื้องหน้า นี้เรียกว่าศาสดาผู้เป็นสัสตวาท **
ศาสดาที่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง
โดยความเป็นของแท้ เฉพาะในปัจจุบัน
ไม่บัญญัติเช่น นั้นในเบื้องหน้า นี้เรียกว่า ศาสดาผู้เป็นอุจเฉทวาท
ศาสดาที่ไม่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในเบื้องหน้า นี้เรียกว่า ศาสดาผู้สัมมาสัมพุทธะ"
(อภิ.ก. ๓๗/๑๘๘/๘๒ และดู อภิ.ปุ. ๓๖/๑๐๓/๑๗๙)
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 11 ทีฆ
นิกาย สีลขันธวรรค หน้า 48 ข้อที่ 49 พรหมชาลสูตร
พรหมชาลสูตร
อุจเฉททิฏฐิ ๗
[ ๔๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่าขาดสูญ
ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ
ความไม่มีของสัตว์ที่ปรากฏอยู่ ด้วยวัตถุ ๗ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า
ขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความไม่มีอยู่ของสัตว์ที่ปรากฏอยู่ ด้วยวัตถุ
๗
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตา
นี้มีรูป สำเร็จด้วยมหาภูตรูป ๔ มีมารดาเป็นแดนเกิด
เพราะกายแตกย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มี ฉะนั้นหลังความตายอัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมบัญญติความ
ขาดสูญความพินาศ ความไม่มีของสัตว์ที่ปรากฏอยู่ด้วยประการฉะนี้
หน้า 58 ข้อที่ 60
ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ
[ ๖๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด
มีวาทะว่าขาดสูญ ย่อม
บัญญัติ ความขาดสูญ ความพินาศ ความไม่มีของสัตว์ที่มีอยู่ ด้วยวัตถุ ๗ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณ
พราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ ไม่เห็น เป็นความแส่หา
เป็นความดิ้นรนของคน
มีตัณหาเท่านั้น
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 29 สังยุตต
นิกาย สฬายตนวรรค หน้า 318-319 ข้อที่ 801-802 อานันทสูตร
๑0. อานันทสูตร
ว่าด้วยพระอานนท์ถามปัญหา
[ ๘0๑ ] ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระพุทธเจ้า
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัตตามีอยู่หรือ เมื่อวัจฉโคตรปริพาชกได้ทูลถามอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดุษณีเสีย
วัจฉโคตรปริพาชกได้ทูลถามอีกว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อัตตาไม่มีหรือ แม้ครั้งที่สอง
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรง
ดุษณีเสียเหมือนกัน ครั้นแล้ว วัจฉโคตรปริพาชกก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งหลีกไป
[ ๘0๒ ] ครั้งนั้น เมื่อวัจฉโคตรปริพาชกหลีกไปแล้วไม่นาน
ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุอะไรหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันวัจฉโคตรปริพาชกทูลถามปัญหาแล้ว
จึงไม่ทรงพยากรณ์
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์
เราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตามีอยู่หรือ ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่าอัตตามีอยู่ไซร้
คำพยากรณ์นั้นก็จักไปร่วมกับลัทธิของพวกพราหมณ์ผู้เป็น
สัสตทิฏฐิ ดูก่อนอานนท์ เราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า
อัตตาไม่มีหรือ ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่า อัตตาไม่มีไซร้ คำพยากรณ์นั้นก็จักไปร่วมกับลัทธิของพวกพราหมณ์ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ
ดูก่อนอานนท์ เราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตามีอยู่หรือ
ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่าอัตตามี
อยู่ไซร้ คำพยากรณ์ของเรานั้นจักอนุโลมเพื่อความบังเกิดแห่งญาณว่าธรรมทั้งปวง
เป็นอนัตตาบ้างหรือหนอ
อานนท์ : หามิได้
พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ดูก่อนอานนท์
ถ้าหากเราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตาไม่มีหรือ ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่า อัตตาไม่มีไซร้คำพยากรณ์นั้นคงจักเป็นไปเพื่อความหลงงมงายแก่วัจโคตร
ปริพาชกผู้งมงายอยู่แล้วว่า เมื่อก่อนอัตตาของเราได้มีแล้วแน่นอน
บัดนี้ อัตตานั้นไม่มี ดังนี้
หน้า 320
อรรถกถาอานันทสูตร
บทว่า เตสเมตํ สทฺธึ อภวิสฺส ความว่า
คำพยากรณ์นั้นจักเป็นอันเดียวกันกับลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น
จักอนุโลมเพื่อความเกิดขึ้นแห่งญาณว่า
สพฺเพ ธมฺมา อนฺตตา วิปัสสนาญาณว่า สพฺเพ ธมฺมา อนฺตตา นี้ย่อมเกิดขึ้นคำพยากรณ์ของเรานั้น
จักอนุโลมบ้างหรือหนอ