พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 7
พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ โกสัมพิขันธกะ หน้า 481-485 ข้อ 252-254
พระสารีบุตรเข้าเฝ้าทูลถามข้อปฎิบัติ
- [ ๒๕๒ ] ท่านพระสารีบุตรได้สดับข่าวว่า ภิกษุชาวพระนครโกสัมพี
ผู้ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการ
วิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เหล่านั้น พากันมาสู่พระนครสาวัตถี
จึงเข้าไปในพระพุทธสำนัก ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้ทูลถามข้อปฏิบัตินี้แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ได้ข่าวมาว่า ภิกษุพระนครโกสัมพีที่ก่อความบาดหมาง
ก่อการทะเลาะ
ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น พากันมาสู่พระนครสาวัตถี
ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติใน
ภิกษุเหล่านั้นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า ?
- พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สารีบุตร
ถ้าเช่นนั้น เธอจงดำรงอยู่ตามธรรม
- พระสารีบุตร : ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงทราบธรรมอย่างไร
พระพุทธเจ้าข้า ?
วัตถุสำหรับอธรรมวาที
๑๘ ประการ
- พระผู้มีพระภาคเจ้า : สารีบุตร เธอพึงทราบอธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ คือภิกษุในธรรมวินัยนี้
:-
- ๑. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ว่าเป็นธรรม
- ๒. แสดงสิ่งที่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม
- ๓. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นวินัย ว่าเป็นวินัย
- ๔. แสดงสิ่งที่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย
- ๕. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้
ว่าพระตถาคตทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้
- ๖. แสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้
ว่าพระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้
- ๗. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมา
- ๘. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา
- ๙. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัตติไว้ ว่าพระตถาคตทรงบัญญัติไว้
- ๑0. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัตติไว้ ว่าพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้
- ๑๑. แสดงสิ่งที่มิใช่อาบัติ ว่าเป็นอาบัติ
- ๑๒. แสดงสิ่งที่เป็นอาบัติ ว่าเป็นสิ่งมิใช่อาบัติ
- ๑๓. แสดงอาบัติเบา ว่าเป็นอาบัติหนัก
- ๑๔. แสดงอาบัติหนัก ว่าเป็นอาบัติเบา
- ๑๕. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือ ว่าเป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
- ๑๖. แสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ ว่าเป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
- ๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
- ๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
- สารีบุตร เธอพึงทราบอธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล
วัตถุสำหรับธรรมวาที ๑๘
ประการ
- สารีบุตร และพึงทราบธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
:-
- ๑. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม
- ๒. แสดงสิ่งที่เป็นธรรม ว่าเป็นธรรม
- ๓. แสดงสิ่งที่ไม่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย
- ๔. แสดงสิ่งที่เป็นวินัย ว่าเป็นวินัย
- ๕. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้
ว่าพระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้
- ๖. แสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้
ว่าพระตถาคตทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้
- ๗. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา
- ๘. แสดงมรรยาทอันพระตถาคตทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมา
- ๙. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัตติไว้ ว่าพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้
- ๑0. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัตติไว้ ว่าพระตถาคตทรงบัญญัติไว้
- ๑๑. แสดงสิ่งที่มิใช่อาบัติ ว่าเป็นสิ่งมิใช่อาบัติ
- ๑๒. แสดงสิ่งที่เป็นอาบัติ ว่าเป็นอาบัติ
- ๑๓. แสดงอาบัติเบา ว่าเป็นอาบัติเบา
- ๑๔. แสดงอาบัติหนัก ว่าเป็นอาบัติหนัก
- ๑๕. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือ ว่าเป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
- ๑๖. แสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ ว่าเป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
- ๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
- ๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ ว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
- สารีบุตร เธอพึงทราบธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล
พระเถรานุเถระเข้าเฝ้าทูลถามข้อปฏิบัติ
- [ ๒๕๓ ] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระมหากัสสปะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระมหากัจจานะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระมหากัปปินะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระมหาจุนทะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระอนุรุทธะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระเรวตะได้สดับข่าว ...
- ท่านพระอุบาลีได้สดับข่าว ...
- ท่านพระอานนท์ได้สดับข่าว ...
- ท่านพระราหุลได้สดับข่าวว่า ภิกษุชาวพระนครโกสัมพีที่ก่อความบาดหมาง
ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท
ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เหล่านั้น พากันมาสู่พระนครสาวัตถี จึงเข้าไปในพระพุทธสำนัก
ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระราหุลนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้ทูลถามข้อปฏิบัตินี้แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ได้ข่าวมาว่า ภิกษุพระนครโกสัมพีที่ก่อความบาดหมาง
ก่อการทะเลาะ
ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น พากันมาสู่พระนครสาวัตถี
ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติใน
ภิกษุเหล่านั้นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า ?
- พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ราหุล
ถ้าเช่นนั้น เธอจงดำรงอยู่ตามธรรม
- พระราหุล : ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงทราบธรรมอย่างไร
พระพุทธเจ้าข้า ?
- พระผู้มีพระภาคเจ้า : ราหุล เธอพึงทราบ
อธรรมวาทีภิกษุ ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ
...
- ราหุล เธอพึงทราบอธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล
- ราหุล เธอพึงทราบ ธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ ...
- ราหุล เธอพึงทราบธรรมวาทีภิกษุ
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล
พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีเข้าเฝ้าทูลถามข้อปฏิบัติ
- [ ๒๕๔ ] พระเถรีมหาปชาบดีโคตมี ได้สดับข่าวว่า
ภิกษุชาวพระนครโกสัมพีที่ก่อความบาดหมาง ก่อการ
ทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เหล่านั้น พากันมาสู่พระนครสาวัตถี
จึงเข้าไปในพระ
พุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ท่านพระราหุลนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้ทูลถามข้อปฏิบัตินี้แด่ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ได้ข่าวมาว่า
ภิกษุพระนครโกสัมพีที่ก่อความ
บาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น
พากันมาสู่พระนครสาวัตถี
หม่อมฉันจะปฏิบัติในภิกษุเหล่านั้นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า ?
- พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โคตมี ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟังธรรมในภิกษุสองฝ่าย
ครั้นฟังธรรมในสองฝ่ายแล้ว ภิกษุเหล่าใดในสองฝ่ายนั้นเป็นธรรมวาที
เธอจงพอใจความเห็น ความถูกใจ ความชอบใจ และความเชื่อถือของ ภิกษุฝ่ายธรรมวาทีนั้น
อนึ่ง วัตรอย่างหนึ่งอย่างใดอันภิกษุณีสงฆ์พึง
หวังแต่ภิกษุสงฆ์ วัตรทั้งหมดนั้นอันเธอพึงหวังแต่ธรรมวาทีภิกษุฝ่ายเดียว
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 7
พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ โกสัมพิขันธกะ หน้า 491-492 ข้อ 259
สังฆสามัคคี ๒ อย่าง
- [ ๒๕๙ ] ครั้นนั้น ท่านพระอุบาลี เข้าไปในพุทธสำนัก
ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า
ความบาดหมาง ความทะเลาะ
ความแก่งแย่ง ความวิวาทแห่งสงฆ์ ความแตกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ การถือต่างกันแห่งสงฆ์
การทำต่างกัน
แห่งสงฆ์ ย่อมมีเพราะเรื่องใด สงฆ์ยังไม่ทันวินิจฉัยเรื่องนั้น ยังไม่ทันสาวเข้าไปถึงมูลเหตุ
จากมูลเหตุ แล้วทำสังฆ
สามัคคีนั้น เป็นธรรมหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
- พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า อุบาลี ความบาดหมาง
ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาทแห่งสงฆ์
ความแตกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ การถือต่างกันแห่งสงฆ์ การทำต่างกันแห่งสงฆ์
ย่อมมีเพราะเรื่องใด สงฆ์ยังไม่ทันวินิจฉัยเรื่องนั้น
ยังไม่ทันสาวเข้าไปถึงมูลเหตุ จากมูลเหตุ แล้วทำสังฆสามัคคี
สังฆสามัคคีนั้น ไม่เป็นธรรม
- พระอุบาลี : พระพุทธเจ้าข้า ก็ ความบาดหมาง
ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาทแห่งสงฆ์ ความแตก
แห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ การถือต่างกันแห่งสงฆ์ การทำต่างกันแห่งสงฆ์
ย่อมมีเพราะเรื่องใด
สงฆ์วินิจฉัยเรื่องนั้น สาวเข้าไปถึงมูลเหตุ จากมูลเหตุ แล้วทำสังฆสามัคคีนั้น
เป็นธรรมหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
- พระผู้มีพระภาคเจ้า : อุบาลี ความบาดหมาง
ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาทแห่งสงฆ์ ความแตก
แห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ การถือต่างกันแห่งสงฆ์ การทำต่างกันแห่งสงฆ์
ย่อมมีเพราะเรื่องใด
สงฆ์วินิจฉัยเรื่องนั้น สาวเข้าไปถึงมูลเหตุ จากมูลเหตุ แล้วทำสังฆสามัคคี
สังฆสามัคคีนั้น
เป็นธรรม
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร โจทนากัณฑ์ หน้า 679 ข้อ 1081
โจทนากัณฑ์
ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น
- [ ๑0๘๑ ] ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์มีปัญญาทราม
โง่เขลา และไม่มีความเคารพในสิกขา บริภาษพระเถระทั้งหลายเพราะฉันทาคติ โทสาคติ
ภยาคติ โมหาคติ เป็นผู้ขุดตนกำจัด
อินทรีย์แล้ว เพราะกายแตกย่อมเข้าถึงนรก
ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ไม่พึงเห็นแก่อามิส
และไม่พึงเห็นแก่บุคคล ควรเว้นทั้งสองอย่างนั้นแล้ว ทำตามที่เป็นธรรม
หน้า 684-685
อรรถกถาโจทนากัณฑ์
- บาทคาถาว่า ขโต อุปหตินฺทฺริโย มีความว่า
ชื่อว่าผู้มีตนอันขุดแล้ว เพราะความที่ตนเป็นสภาพอันตนเอง
ขุดแล้ว ด้วยความเป็นผู้ถึงความลำเอียงด้วยฉันทาคติเป็นต้นนั้น และด้วยการด่านั้น
และชื่อว่าเป็นผู้มีอินทรีย์
อันตนเองขจัดเสียแล้ว เพราะความที่อินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้น เป็นคุณอันตนเองขจัดเสียแล้ว
- สองบาทคาถาว่า นิรยํ คจฺฉติ ทุมฺเมโธ น จ สิกฺขาบ
คารโว มีความว่า ผู้มีตนอันขุดแล้ว มีอินทรีย์อันขจัด
แล้วนั้นชื่อว่าผู้มีปัญญาทราม เพราะไม่มีปัญญา
และชื่อว่าไม่มีความเคารพในการศึกษา เพราะ
ไม่ศึกษาในสิกขา ๓ เพราะแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงนรก
- เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ไม่ควรอิงอามิส ( และไม่ควรอิงบุคคล พึงเว้นส่วน ๒ นั้นเสีย )
กระทำตามธรรม
- เนื้อความแห่งคำนั้นว่า ไม่พึงกระทำ เพราะอิงอามิส
จริงอยู่ เมื่อถือเอาอามิสมีจีวรเป็นต้น
ที่โจทย์หรือ
จำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ ชื่อว่ากระทำเพราะอิงอามิส ไม่พึงกระทำอย่างนั้น
- หลายบทว่า น จ นิสฺสาย ปุคฺคลํ มีความว่า
เมื่อลำเอียงเพราะความรักเป็นต้น
โดยนัยมีอาทิว่า
ผู้นี้เป็นอุปัชฌาย์ของเรา หรือว่า ผู้นี้เป็นอาจารย์ของเรา ชื่อว่ากระทำเพราะอิงบุคคล
ไม่พึงกระทำอย่างนั้น ทางที่ถูก พึงเว้นส่วนทั้ง
๒ นั้นเสีย กระทำตามที่เป็นธรรมเท่านั้น
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร จูฬสงคราม หน้า 687-689 ข้อ 1083
จูฬสงคราม
ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์
- [ ๑0๘๓ ] อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว
มีประสงค์จะวินิจฉัยอธิกรณ์ พึงเป็นผู้หนักในสงฆ์
ไม่พึงเป็นผู้หนักในบุคคล พึงเป็นผู้หนักในสัทธรรม
ไม่พึงเป็นผู้หนักในอามิส พึงเป็นผู้ไปตาม
อำนาจแห่งคดี ไม่พึงเห็นแก่บริษัท ...ไม่พึงถึงฉันทาคติ
โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ พึงวางตน
เป็นกลาง ทั้งในธรรม ทั้งในบุคคล
- ก็แล ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เมื่อวินิจฉัยอธิกรณ์ด้วยอาการอย่างนี้
ชื่อว่า เป็นผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา เป็นที่รักที่ชอบใจที่เคารพ ที่สรรเสริญ
แห่งสหพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญู
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร มหาสงคราม หน้า 707-708 ข้อ 1098
มหาสงคราม
ว่าด้วยไม่ถึงฉันทาคติ
- [ ๑0๙๘ ] คำว่า ไม่พึงถึงฉันทาคติ
นั้น ความว่า เมื่อถึงฉันทาคติ
ถึงอย่างไร ภิกษุบางรูปในธรรม
วินัยนี้ คิดว่า ท่านผู้มีเป็นอุปัชฌาย์ของเรา เป็นอาจารย์ของเรา เป็นสัทธิวิหาริกของเรา
เป็นอันเตวาสิกของเรา เป็นผู้ร่วมอุปัชฌาย์ของเรา เป็นผู้ร่วมอาจารย์ของเรา
เป็นผู้เคยเห็นกันมากับเรา เป็นผู้เคยร่วมคบกันมากับเรา หรือท่านผู้นี้เป็นญาติ
สาโลหิตของเรา ดังนี้ เพื่ออนุเคราะห์ผู้นั้น เพื่อตามรักษาท่านผู้นั้น จึงแสดง
แสดงอธรรมว่าธรรม
แสดงธรรมว่าอธรรม
แสดงอวินัยว่าวินัย
แสดงวินัยว่าอวินัย
แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ว่าพระตถาคตตรัสภาษิตแล้ว
แสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ตรัสภาษิตแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต
แสดงพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว
แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา
แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัตติ ว่าพระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว
แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัตติแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ
แสดงอนาบัติว่าอาบัติ
แสดงอาบัติว่าอนาบัติ
แสดงอาบัติเบาว่าอาบัติหนัก
แสดงอาบัติหนักว่าอาบัติเบา
แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ
แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติมีส่วนเหลือ
แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ
แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ
ภิกษุถึงฉันทาคติด้วยวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก
เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มากเพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล
เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุผู้ถึงฉันทาคติด้วยวัตถุ ๑๘ อย่างนี้
ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน
และย่อม
ประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ภิกษุเมื่อถึงฉันทาคติ ย่อมถึงอย่างนี้
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร มหาสงคราม หน้า 709-710 ข้อ 1101
มหาสงคราม
ว่าด้วยไม่ถึงภยาคติ
- [ ๑0๙๘ ] คำว่า ไม่พึงถึงภยาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงภยาคติ
ถึงอย่างไร ภิกษุบางรูปในพระ
ธรรมวินัยนี้ คิดว่าผู้นี้อาศัยความประพฤติไม่เรียบร้อย อาศัยความยึดถือ อาศัยพรรคพวกมี
กำลัง เป็นผู้ร้ายกาจหยาบคาย จักทำอันตรายแก่ชีวิต หรือทำอันตรายแก่พรหมจรรย์
ดังนี้
จึงขลาด เพราะกลัวต่อผู้นั้น
ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม
แสดงธรรมว่าอธรรม
แสดงอวินัยว่าวินัย
แสดงวินัยว่าอวินัย
แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ว่าพระตถาคตตรัสภาษิตแล้ว
แสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ตรัสภาษิตแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต
แสดงพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว
แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา
แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัตติ ว่าพระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว
แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัตติแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ
แสดงอนาบัติว่าอาบัติ
แสดงอาบัติว่าอนาบัติ
แสดงอาบัติเบาว่าอาบัติหนัก
แสดงอาบัติหนักว่าอาบัติเบา
แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ
แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติมีส่วนเหลือ
แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ
แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ
ภิกษุถึงภยาคติด้วยวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก
เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มากเพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล
เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุผู้ถึงภยาคติด้วยวัตถุ ๑๘ อย่างนี้
ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน
และย่อม
ประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ภิกษุเมื่อถึงภยาคติ ย่อมถึงอย่างนี้
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร มหาสงคราม หน้า 710-711 ข้อ 1103
มหาสงคราม
ไม่ถึงฉันทาคติ
- [ ๑0๙๘ ] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่า
ไม่ถึงฉันทาคติ
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่า อธรรม ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงธรรมว่า ธรรม ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอวินัยว่า อวินัย ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงวินัยว่า วินัย ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตว่า พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ตรัสภาษิตแล้วว่า พระตถาคตได้ตรัสภาษิตแล้ว ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้วว่า พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัตติว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัตติ
ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัตติแล้วว่า พระตถาคตทรงบัญญัตติแล้ว ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอนาบัติว่า อนาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติว่า อาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติเบาว่า อาบัติเบา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติหนักว่า อาบัติหนัก ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า อาบัติมีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า อาบัติไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
- อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่า ไม่ถึงฉันทาคติ
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร มหาสงคราม หน้า 712 ข้อ 1105
มหาสงคราม
ไม่ถึงภยาคติ
- [ ๑0๙๘ ] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่า
ไม่ถึงภยาคติ
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่า อธรรม ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงธรรมว่า ธรรม ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอวินัยว่า อวินัย ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงวินัยว่า วินัย ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตว่า พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ตรัสภาษิตแล้วว่า พระตถาคตได้ตรัสภาษิตแล้ว ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้วว่า พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัตติว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัตติ
ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัตติแล้วว่า พระตถาคตทรงบัญญัตติแล้ว ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอนาบัติว่า อนาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติว่า อาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติเบาว่า อาบัติเบา ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติหนักว่า อาบัติหนัก ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า อาบัติมีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า อาบัติไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่า ไม่ถึงภยาคติ
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 10
พระวินัยปิฎก ปริวาร อุปาลิปัญจกะ หน้า 839-841 ข้อ 1211
อธิกรณวูปสมวรรคที่ ๑0
องค์ของภิกษุผู้ไม่ควรระงับอธิกรณ์
- [ ๑๒๑๑ ] ดูก่อนอุบาลี
ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก ไม่ควรระงับอธิกรณ์ องค์ ๕ เป็นไฉน คือ
:-
- ๑. ถึงฉันทาคติ
- ๒. ถึงโทสาคติ
- ๓. ถึงโมหาคติ
- ๔. ถึงภยาคติ
- ๕. เป็นผู้หนักในบุคคล ไม่หนักในสงฆ์
- ดูก่อนอุบาลี ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ควรระงับอธิกรณ์
องค์ของภิกษุผู้ควรระงับอธิกรณ์
พระไตรปิฎกฉบับประชาชน ของมหามกุฏราชวิทยาลัย (
พระวินัยปิฎก )
หน้า ๑๕๙ อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
สิกขาบทที่ ๘ โกสิยวรรค
( ห้ามรับทองเงิน )
เจ้าของบ้านที่พระอุปนนทะ ศากยบุตร เข้าไปฉันเป็นนิตย์
เตรียมเนื้อไว้ถวายเวลาเช้า แต่เด็กร้องไห้ขอกินในเวลากลางคืน
จึงให้เด็กกินไป รุ่งเช้าจึงเอากหาปณะ ( เงินตรามีราคา ๔ บาท ) ถวาย พระอุปนนทะก็รับ
มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุรับเอง
ใช้ให้รับทอง เงิน หรือยินดี ทอง เงิน ที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด
หมายเหตุ : ภายหลังทรงอนุญาติให้ยินดีในปัจจัย
๔ ได้ คือ ทายกมอบเงินไว้แก่ไวยยาวัจจกร เพื่อให้จัดหาปัจจัย ๔ คือเครื่องนุ่งห่ม
อาหาร
ที่นอนที่นั่ง ยารักษาโรค ภิกษุต้องการอะไร ก็บอกให้เขาจัดการให้ จึงมีประเพณีถวายใบปวารณาปัจจัย
๔
หน้า ๑๗๔ อาบัติปาจิตตีย์ สิกขาบทที่
๔ สัปปาณกวรรค
( ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
)
พระอุปนนทะ ศากยุบตร ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แล้วบอกกับภิกษุอื่นขอให้ช่วยปกปิดด้วย
ภิกษุนั้นก็ช่วยปกปิด พระผู้มีพระ
ภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่
ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
หน้า ๑๗๕ อาบัติปาจิตตีย์ สิกขาบทที่
๙ สัปปาณกวรรค
( ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
)
ภิกษุฉัพพัคคีย์ยังคบหาพระอริฏฐะผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย ผู้ยังไม่ยอมละทิ้งความเห็นผิดนั้น
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ
สิกขาบท ห้ามคบ ห้ามอยู่ร่วม ห้ามนอนร่วมกับภิกษุเช่นนั้น
ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ
ผู้ล่วงละเมิด